เมื่อเวลา 02.40 น. วันที่ 4 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสายตรวจ สภ.เมือง จ.อุบลราชธานี นำกำลังเข้าจับกุมนายณัฐพงศ์ อายุ 27 ปี อยู่ 23/4 หมู่ 10 ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต หลังก่อเหตุฆ่าคนตาย แล้วหลบหนีมาเช่าโรงแรมแห่งหนึ่ง ถนนสุขาพัฒนา ต.ขามใหญ่ อ.เมืองอุบลราชธานี จึงนำตัวมาสอบสวน หลังก่อเหตุฆ่านายทับทิม หงษ์ทอง อายุ 85 ปี ซึ่งเป็นตาของผู้ต้องหา และนางสาวณัฐกมล หงษ์ทอง อายุ 35 ปี พี่สาวผู้ต้องหา ที่บริเวณภายในบ้านเลขที่ 151 หมู่ 11 ต.ขามใหญ่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เหตุเกิดเมื่อเวลา 21.36 น. วันที่ 3 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แต่เจ้าตัวยังให้การวกวนพูดจาไม่รู้เรื่อง

สืบเนื่องจาก ร.ต.อ.นราศักดิ์ หนองข่า รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองอุบลราชธานี ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ราชธานีว่า มีผู้เสียชีวิตที่ 2 ราย ภายในบ้านเลขที่ 151 หมู่ 11 ต.ขามใหญ่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี จึงเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมชุดสืบสวน พบศพนายทับทิม หงษ์ทอง อายุ 85 ปี และนางสาวณัฐกมล หงษ์ทอง อายุ 35 ปี ภายในห้องนอนของผู้ตาย โดยมีร่องรอยการถูกทำร้ายบริเวณใบหน้าและศีรษะอย่างรุนแรง มีเลือดไหลออกนองที่พื้น ตามร่างกายของผู้ตายทั้งสอง ไม่พบบาดแผลแต่อย่างใด

จากการสอบสวนเบื้องต้น นายสุรินทร์ หงส์ทอง อายุ 54 ปี ญาติข้างบ้านให้การว่า เป็นคนพบศพเป็นคนแรก โดยได้พังประตูห้องเข้าไปแล้วพบศพทั้งสอง และให้การว่าน่าจะเกิดจากการกระทำของนายณัฐพงศ์ ซึ่งเป็นหลานและน้องชายต่างบิดาผู้ตาย เนื่องจากมีพฤติการณ์ก้าวร้าว และเพิ่งมาอยู่บ้านที่เกิดเหตุเพียง 1 เดือน และมีอาการคลุ้มคลั่งเมื่อขอเงินผู้ตายทั้ง 2 คนไปซื้อของไม่ได้ ซึ่งคาดว่าสาเหตุการตายน่าจะเกิดจาก เมื่อเวลาประมาณ 11.00-15.00 น. วันที่ 3 มีนาคม 2567 นายณัฐพงศ์ ได้เข้าไปขอเงินผู้ตายทั้งสองคนภายในห้องนอนที่เกิดเหตุ แล้วไม่ได้เงินจากผู้ตาย จึงเกิดการโต้เถียงกันแล้วไม่พอใจและมีอาการหงุดหงิด จึงได้เข้าไปทำร้ายร่างกายผู้ตายทั้งสองจนเสียชีวิต จากนั้นได้ล็อกห้องนอนของผู้ตาย แล้วได้ขี่จักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ สีดำ-แดง คันหมายเลขทะเบียน 1 กน 9504 อุบลราชธานี หลบหนี สำหรับมูลเหตุจูงใจ เกิดจากไม่พอใจที่ขอเงินผู้ตายไม่ได้ และมีอาการจิตเวช โดยนางสาวพรหมณภัสสร์ หงษ์ทอง อายุ 57 ปี มารดาของนายณัฐพงศ์ กำลังจะพาไปทำการรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์จ.อุบลราชธานี แต่ไม่ยอมไป