เมื่อเวลา 10.20 น. (ตามเวลาท้องถิ่นนครเมลเบิร์น เร็วกว่ากรุงเทพฯ 4 ชั่วโมง) วันที่ 6 มี.ค. ที่นครเมลเบิร์น เครือรัฐออสเตรเลีย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางมาร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-ออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 5-6 มี.ค. 2567 ว่า เชื่อมั่นว่าการเดินทางมาครั้งนี้ ได้เพิ่มโอกาส สร้างประโยชน์ให้ประเทศ และประชาชนไทยอย่างมาก และการเดินทางครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมถึงความร่วมมือระหว่างอาเซียน-ออสเตรเลีย ภายใต้ 3 สามเสาหลักของอาเซียน คือ 1.การเมืองและความมั่นคง 2.เศรษฐกิจ และ 3.สังคมและวัฒนธรรม และถือเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ 50 ปี อาเซียน-ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน 

นายกฯ กล่าวต่อว่า ตนในฐานะตัวแทนประเทศไทย ได้กล่าวถึงสิ่งที่ประเทศไทยพร้อมผลักดันในสองด้านหลัก ได้แก่ 1. ความเชื่อมโยงในมิติต่างๆ ได้แก่ 1. การค้าการลงทุน เพิ่มมูลค่าทางการค้าผ่านกรอบความร่วมมือต่างๆ ด้านที่ 2. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ให้เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ไร้รอยต่อ ด้านที่ 3. ด้านดิจิทัล โดยได้เริ่มพัฒนาเจรจาความตกลง DEFA (Digital Economy Framework Agreement) ซึ่งจะสร้างมูลค่ามากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และในด้านสุดท้าย ที่มีความสำคัญมากคือ ด้านประชาชน การติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างประชาชนผ่านการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการช่วยเหลือด้านการเชื่อมโยงด้านการตรวจลงตราระหว่างกัน และ 2. การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด ซึ่งไทยสามารถร่วมกับออสเตรเลีย

นายกฯ กล่าวอีกว่า ได้พบหารือกับผู้นำ 4 ประเทศ ในการพบหารือกับผู้นำลาว ได้พูดถึงการค้าชายแดน พบหารือกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้พูดคุยถึงสันติสุขใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นโอกาสให้พูดคุยเรื่องโอกาส และแนวทางการแก้ปัญหาจากการเพิ่มโอกาส ทั้งนี้ ในส่วนของการพบกับผู้นำออสเตรเลียนั้น ได้พูดคุยเรื่องการสนับสนุนการนำเข้าแรงงานไทยมาทำงานด้านการเกษตรที่ออสเตรเลีย และได้ขอบคุณที่ออสเตรเลีย ที่ดูแลนักเรียนไทยอย่างต่อเนื่องมาตลอด ในการพบหารือกับนิวซีแลนด์ ได้พูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง ทั้งในเรื่องวีซ่าฟรี และในปีนี้ นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์มีกำหนดการเดินทางมาไทยในช่วงเดือน เม.ย. นี้ 

“ในส่วนของการพบหารือกับฝ่ายเอกชน ได้พบหารือกับผู้นำเอกชน 6 บริษัทใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทสำคัญทั้งในด้านอุตสาหกรรม พลังงานสะอาด และด้านกองทุน ซึ่งผมเชื่อมั่นมากว่า ประเทศไทย คนไทย จะได้ประโยชน์จากการเดินทางครั้งนี้” นายกฯ กล่าว.