สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเม็กซิโกซิตี ประเทศเม็กซิโก เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ว่า จากเหตุการณ์หน่วยคอมมานโดของเอกวาดอร์บุกเข้าไปภายในสถานเอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจำกรุงกีโต เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เพื่อจับกุมนายฮอร์เก กลาส อดีตรองประธานาธิบดี ซึ่งลี้ภัยอยู่ภายใน เพื่อหลบหนีหมายจับในคดีทุจริต และส่งผลให้เม็กซิโกยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับเอกวาดอร์


ประธานาธิบดีอันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ผู้นำเม็กซิโก กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่ง ที่มาจาก “การใช้อำนาจเผด็จการอย่างแท้จริง” ของประธานาธิบดีดาเนียล โนโบอา ผู้นำคนปัจจุบัน ซึ่งรับตำแหน่งเมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว


โลเปซ โอบราดอร์ กล่าวต่อไปว่า “การเมืองเป็นเรื่องของความเป็นมืออาชีพในระดับสูง” หากผู้นำยังไม่มีประสบการณ์มากพอ หรือขาดความสนับสนุนจากประชาชน การใช้อำนาจของผู้นำ “ยิ่งต้องมีความรอบคอบ การรักษาสมดุล และความมีเหตุผล” และทิ้งท้ายว่า หากบ้านเมืองอ่อนแอ ผู้ที่ไร้ประสบการณ์ มักก้าวมามีอำนาจบริหารประเทศนั้น


ทั้งนี้ เม็กซิโกเตรียมยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ไอซีเจ) หรือศาลโลก ว่าเอกวาดอร์ละเมิดอนุสัญญาเวียนนา ที่ระบุชัดเจนว่า สถานเอกอัครราชทูตและสำนักงานกงสุล ถือเป็นเขตอธิปไตยของรัฐที่เข้ามาตั้ง และไม่สามารถรุกล้ำได้


ขณะที่ทำเนียบประธานาธิบดีเอกวาดอร์เผยแพร่แถลงการณ์ของโนโบอา ยืนยันความจำเป็นต้องปฏิบัติการจับกุมกลาส “ซึ่งมีความเสี่ยงหลบหนีออกนอกประเทศ” และส่งสัญญาณประนีประนอมกับเม็กซิโก ด้านทนายความของอดีตรองผู้นำเอกวาดอร์ เรียกร้องผู้นำคนปัจจุบันเคารพสถานะผู้ลี้ภัยของลูกความ.

เครดิตภาพ : AFP