วันนี้หลายคนอาจคาดการณ์ถึง “กระแสความเปลี่ยนแปลง” ในรัฐบาลว่าจะอยู่ไม่ครบเทอมไปต่างๆ นานา ทั้งเรื่องจะมีการยุบสภา หรือนายกฯ ลาออก อันมีผลมาจากเสถียรภาพภายในพรรคพลังประชารัฐ ( พปชร.) หรือไม่ ซึ่งก็ต้องดูเกมกันตอนเปิดสภาว่ามีตีรวนกฎหมายสำคัญอะไรหรือเปล่า ที่ทำให้เห็นภาพความไม่เป็นเอกภาพชัดเจน

แต่ช่วงการปิดสมัยประชุมสภา ประกอบกับรัฐบาลก็ทำงานมาจะเข้าปีที่ 3 ทำให้พรรคการเมืองแต่ละพรรคก็ต้องเริ่มขยับตัวในการ “สร้างความหวังและสร้างภาพจำ” ว่าถ้าเกิดการเปลี่ยนรัฐบาล ทั้งโดยปกติหรืออุบัติเหตุทางการเมือง พรรคเราพร้อมเป็น “ตัวเลือกใหม่” ก็เริ่มมีการพูดถึงนโยบายและมีการลงพื้นที่วัดคะแนนนิยม

พอพูดถึงเรื่องการลงพื้นที่..มีคนฝากมาถามรัฐมนตรีพรรค พปชร. บางคนว่า “งานการกระทรวงไม่ทำหรือไร” เพราะเห็นต้องจัดคิวลงพื้นที่พร้อมนายกฯ บ้าง พร้อมหัวหน้าพรรคบ้าง ไม่สร้างผลงานของตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์ให้เป็นข่าวแล้วประชาชนจำในวงกว้าง ดีกว่าให้เขาเห็นหน้าแว้บๆ ในภาพข่าวว่าลงพื้นที่กับนายกฯ หรือหัวหน้าพรรค

กระแสที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คือ “คนสนใจระดับหัว”หมายความว่า แต่ละพรรคจะชูใครเป็นนายกฯ คนต่อไป พรรคที่มีเสียงดีอย่างพรรคเพื่อไทย “เสียรังวัด” ไปหน่อยตรงที่ยังไม่สามารถเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ได้ แต่อาศัย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคออกมาทำคะแนนให้เรื่อยๆ โชว์วิสัยทัศน์ผ่านคลับเฮาส์แทบทุกอาทิตย์

ในหมู่คนชั้นกลางที่ใช้สื่อ พรรคที่เป็นที่สนใจมากที่สุดตอนนี้เลยดูเหมือนจะเป็นพรรคก้าวไกล ที่นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.พรรคมีผลงานอภิปรายในสภาค่อนข้างเด่น และล่าสุดพรรคก็เพิ่งประชุมใหญ่ไปเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาที่ จ.ขอนแก่น ประเด็นที่สำคัญ คือ การชูเรื่อง “การปูรากฐานแห่งความเปลี่ยนแปลง”

เชื่อว่า หลายคนเบื่อหน่ายกับระบบราชการที่ล่าช้า ไปจนถึงเบื่อหน่ายกับโครงสร้างสังคมที่ไม่เป็นธรรมเรื่องการกระจายทรัพยากร รวยกระจุก จนกระจาย แถมตอกย้ำความจนกันด้วยภาวะโควิดที่ทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลางถึงเล็กได้รับผลกระทบอย่างหนักไปหลายเจ้า ดังนั้น “ภาพฝัน” คือการบริหารที่แก้ปัญหาตรงนี้  

สิ่งที่นายพิธาพูดในการประชุม เป็นการแสดงวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจคือ “ประเทศไทยติดคำสาปห้ามพัฒนา แต่เรารู้ว่าจะสร้างยูนิคอร์นได้อย่างไร เรารู้ว่า ต้องสู้กับสัตว์ 2 ตัวที่เป็นคำสาปคือ ช้าง และเสือ ช้างคือรัฐราชการรวมศูนย์ ตัวอ้วนอุ้ยอ้าย เสือคือระบบเสือนอนกินที่เป็นปรสิตกัดกินประเทศไทย คือนายทุนผูกขาด นักการเมืองท้องถิ่น”

พร้อมย้ำว่า พรรคจะใช้วิถีก้าวไกลในทุกเรื่อง อะไรที่เคยส่งต่อประเทศไทยมา 40 ปี ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษาแบบเดิม จะส่งต่อไม่ได้อีก เราทุกคนต้องมีทัศนคติเหมือนราชสีห์ ที่ไม่ใหญ่เท่ากับช้าง ไม่เร็วเท่ากับเสือ ไม่ฉลาดเท่าลิง แต่มีความสุภาพและเข้มแข็ง ทำงานเข้าไปอยู่ในใจประชาชน ไม่ใช่อยู่บนหัวของประชาชน   

นายพิธาย้ำว่า การเดินทางไกลจากนี้ จะเป็นการเดินทางของคนธรรมดาทุกคนที่ถูกกดขี่จากความอยุติธรรมในประเทศนี้ เราจะต้องเติมพลังใจให้กันและกันและห้ามหยุด แพ้กี่ครั้งไม่เป็นไร ชนะครั้งเดียวพอแล้ว แล้วประเทศไทยจะเปลี่ยนไป ซึ่งเรื่องความเหลื่อมล้ำและอยุติธรรมเป็นสิ่งที่คนไทยเกลียด และต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลง

มันเปลี่ยนยาก เพราะระบบการเมืองไทยถูกมองว่า คนเข้ามาทำงานก็เพื่อทำงานให้นายทุน ในส่วนของประชาชนก็อัดเศษเงินช่วยไปในรูปแบบของประชานิยม ดังนั้น มันคือโจทย์สำคัญของการ “ปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง”เลยทีเดียว ซึ่งถ้าจะทำเป็นรูปธรรมก็คือเรื่องการแก้กฎกติกาโดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ ที่มีแต่คนอยากให้ยกร่างใหม่ทั้งฉบับ

เปิดตัวด้วยประเด็นโดนใจคนชั้นกลางที่ใช้สื่อ เขาก็พร้อมเผยแพร่ข่าวเชียร์ พรรคอื่นจะมีนโยบายเดียวกันหรือไม่ ?