เมื่อวันที่ 14 เม.ย. นายรัศมิ์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ และเจ้าของเพจ ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns โพสต์ข้อความมีรายละเอียดดังนี้ที่ไหนดีที่สุดในโลก

ในฐานะคนที่เป็นนักการทูต คำถามที่ผมได้รับบ่อยมากคือ ประเทศที่เคยไปอยู่ประจำการมาชอบที่ไหนมากที่สุด? ซึ่งเป็นคำถามที่ผมเองสารภาพว่าไม่เคยนึกให้ความสำคัญนัก เพราะก็ชอบทุกที่ แต่มันฟังเหมือนเป็นคำตอบสูตรสำเร็จของนักการทูตไปสักหน่อย
ผมออกประจำการครั้งแรกที่กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา แล้วก็เคยไปประจำการที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว ไปเป็นเอกอัครราชทูตครั้งแรกที่กรุงมาปูโต ประเทศโมซัมบิก และไปเกษียณที่กรุงนูร์-ซุลตัน (อัสตานา) ประเทศคาซัคสถาน

บรรดาประเทศที่ผมออกประจำการนั้น ตามมาตรฐานทั่วไปของกระทรวงต่างประเทศแล้ว ก็ไม่ได้ถือว่าเลิศหรูอะไรนักหนา สองแห่งที่ไปถือว่าเป็นระดับประเทศที่มีสถานะความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก (ที่พวกเราเรียกว่า hardship post) แต่ผมมีความเชื่อว่าเรานักการทูตจะต้องมองหาสิ่ง/ด้านที่ดีของประเทศที่เราไปอยู่ให้ได้ ไม่ใช่ไปมองเห็นแต่ด้านลบ ซึ่งนั่นคือทั้งหน้าที่ของเราและมันช่วยให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและความสุขด้วย

คนเรานั้นถ้าจะตั้งหน้าหาที่ติกันจริงๆ อยู่ที่ไหนในโลกมันก็ติได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะปารีส ลอนดอน โรม นิวยอร์ก ฯลฯ ต่างก็ล้วนมีข้อเสียด้วยกันทั้งสิ้น ลงถ้าจะนั่งตั้งใจจับผิดกัน

ผมไปเป็นทูคครั้งแรกที่ประเทศโมซัมบิก ที่หลายคนร้องยี้เพราะเป็นประเทศในแอฟริกา ที่จัดว่าห่างไกลจากความเจริญตามเกณฑ์ทั่วไป แต่ผมได้ทำงานที่สนุกและเป็นประโยชน์มาก ชนิดที่ถ้าอยู่ที่ยุโรปก็คงไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ ส่วนประเทศคาซัคสถาน ทูตคนก่อนหน้าผมซึ่งก็เป็นเพื่อนกัน เสนอให้ปิดสถานทูตเพราะเขาไม่ชอบประเทศนี้เลย แต่ผมก็รู้สึกว่าคุ้มค่าอย่างมากที่ได้อยู่ที่นี่ และเห็นว่าคาซัคสถานมีความสำคัญยิ่งในแง่ยุทธศาสตร์ต่อไทย

คือที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะวกกลับมาที่ประเทศไทยของเรา ที่ผมเห็นว่าทุกวันนี้ประเทศของเราตกต่ำลงมากอย่างน่าใจหายในแทบทุกด้าน เพราะรัฐบาลที่ทั้งไร้ความสามารถและมีที่มาอย่างห่างไกลความชอบธรรมภายใต้กติกาที่บิดเบี้ยวไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนแท้จริง

และผมเห็นหลายคนบ่นสิ้นหวัง เหมือนประเทศเราต้องคำสาบให้ไม่มีวันเจริญได้ โดยเฉพาะเมื่อเอาประเทศของเราไปเปรียบกับประเทศอื่นๆ ที่ปัจจุบันดูเหมือนที่ไหนเขาก็ดีกว่า แทบแซงหน้าเราไปหมดแล้ว

แต่ผมก็อยากบอกว่าทุกประเทศก็ล้วนมีช่วงเวลาเลวร้ายของตน แม้แต่อเมริกาเองในช่วงยุคเศรษฐกิจตกต่ำ (The Great Depression) เมื่อเกือบร้อยกว่าปีที่แล้ว คนเขาลำบากกว่าเรามาก ประเทศในยุโรปก็ล้วนเคยผ่านช่วงตกต่ำลำบากยากแค้นมาแล้วทั้งนั้น ส่วนเพื่อนบ้านทั้งหลายของเราเขายิ่งเคยผ่านช่วงเวลาที่ทุกข์ทนกว่าเราไม่รู้เท่าไหร่

ทุกวันนี้แม้จะดูมืดมนไร้หนทาง แต่ผมไม่อยากให้พวกเราท้อถอยยอมจำนนต่ออำนาจอยุติธรรม มันอาจจะยาวนาน แต่ผมเชื่อว่าเราจะผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปได้ในที่สุด ขอเพียงเรายังมีความหวังและมีจิตใจที่ไม่ยอมแพ้

ไม่มีที่ไหนในโลกที่ดีที่สุดตลอดเวลา และในทางกลับกัน ในช่วงยามแห่งความเลวร้าย ทุกที่ก็สามารถต่อสู้เพื่อให้ได้อนาคตที่ดีขึ้นสักวันหนึ่งข้างหน้าเช่นกัน ซึ่งมันขึ้นอยู่ที่ทัศนคติ มุมมอง และความตั้งใจของเราด้วย ชีวิตต้องมีความหวัง

ตราบที่เรายังไม่ยอมจำนน ก็คือเรายังไม่แพ้ ก็แค่นั้น

สวัสดีปีใหม่ไทย สุขสันต์วันสงกรานต์ครับ