เมื่อวันที่ 2 ก.ย. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า หลังทราบว่ามีการระบาดโรคโควิด-19 ที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ตนได้สั่งการทันที ให้กรมควบคุมโรคประสานใกล้ชิดกับเครือข่ายนานาชาติ เพิ่มความเข้มงวดยกระดับการควบคุมโรค ค้นหา ตรวจหาผู้ติดเชื้อ เฝ้าระวัง และติดตามผลในนักท่องเที่ยว ผู้มาจากประเทศที่มีการติดเชื้อ ซึ่งพบครั้งแรกในนักท่องเที่ยวจีน และขยายผลพบอีก 30 ราย ซึ่งให้การรักษายและกลับประเทศทุกราย ทำให้รัฐบาลจีนชื่นชม ซาบซึ้ง และเป็นที่มาของการช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ นานัปการจนถึงปัจจุบัน
นายอนุทิน กล่าวว่า ทั้งนี้โควิด เป็นโรคอุบัติใหม่ ระบาดรุนแรงทั่วโลก ไม่มีใครรู้จกมาก่อน การรับมือ ป้องกัน รักษา ระยะแรกต้องมีการปรับแนวทางไปเรื่อย ๆ ซึ่งต้องขอบคุณบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญ คณะแพทยศาสตร์ จากมหาวิยาลัยต่างๆ ในการร่วมมือเพื่อหาแนวทางรักษาโรคอย่างเหมาะสม จนพบยาฟาวิพิราเวียร์ ที่ช่วยบรรเทาอาการและหายในเวลาไม่นาน ยกเว้นว่ามีโรคประจำตัว ดังนั้นคงเห็นว่าแม้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ยอดติดเชื้อเกินล้านราย ก็เป็นยอดสะสมตั้งแต่ปี 2563 แต่อัตราการรักษาหายก็มีมากกว่า 90% ส่วนอัตราการเสียชีวิต บุคลากรในกระทรวงสาธารณสุขเสียใจอย่างยิ่ง แต่ต้องวัดกันที่มาตรฐานของโลกด้วย ซึ่งอัตราการเสียชีวิตถือว่าต่ำกว่าอัตราการเสียชีวิตในหลายประเทศ ถือว่าเรารับมือได้ดีดกว่าหลายประเทศ ที่สำคัญมีความพร้อมทางการแพทย์ และเวชภัณฑ์ตลอดเวลา ดังนั้นที่ตนถูกกล่าวหาว่าเพิกเฉย ละเลย ไม่เตรียมความพร้อมให้ดี ตนคิดว่าเป็นข้อกล่าวที่เลื่อนลอย ไม่เป็นความจริง
นายอนุทิน กล่าวว่า การระบาดของไทยระลอกที่ 2 ช่วงเดือน ธ.ค. ปี 2563 และระลอกที่ 3 เดือน เม.ย. ลากยาวมาถึงทุกวันนี้ ยอมรับว่ามีความรุนแรงทุกมิติ สาเหตุหลักคือการเข้ามาของคนต่างด้าวผิดกฎหมาย มีการกระทำที่ไม่เคารพกฎหมาย หลายคนขาดความระวัง ทำให้มาตรการป้องกันส่วนตัวย่อหย่อน ไปมาหาสู่ การเว้นระยะห่างไม่มีประสิทธิภาพ กินเหล้า สังสรรค์ สถานบันเทิง ภัตตาคารเหมือนภาวะปกติ ลักลอบข้ามประเทศเล่นการพนันจนเกิดการติดเชื้อแบบซูเปอร์สเปรดเดอร์ ขยายไปยังโรงงาน ครัวเรือน มีผู้ติดเชื้อเพิ่มจากหลักร้อยรายเป็นหลักหมื่นราย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีการตั้ง ศบค. ที่มีการรวมศูนย์ รวมอำนาจของกฎหมายหลายฉบับเพื่อบังคับใช้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข เป็นหนึ่งในหน่วยงานต้องทำตามคำสั่งการของ ศบค. โดยเตรียมความพร้อมการรักษา ยา และการควบคุมโรคให้มีประสิทธิภาพสูงสูด หากไม่มีการวางแผนและเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์เลวร้ายไว้ล่วงหน้าคงไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วยที่เพิ่มจากหลักร้อยเป็นหลักหมื่นได้ แม้จะมีผู้มีอาหารหนัก เสียชีวิตเพิ่ม แต่ดูแลเต็มที่ เต็มความสามารถ
“…กรณีมีผู้ป่วยเกิน 1 ล้านคนก็จริง แต่เป็นยอดสะสมตั้งแต่ปี 2563 แต่สิ่งที่ต้องดูคือยอดหายป่วย 9 แสนราย เกือบ 1 ล้านราย เหมือนกัน ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นคนมีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตเมื่อติดเชื้อ ดังนั้นขอกราบเรียนว่าผม และท่านนายกฯ บุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุขทุกคนรู้สึกเสียใจ และผมถือโอกาสนี้กราบขออภัยอย่างที่สุดต่อครอบครัวผู้ป่วยที่เสียชีวิต ขออภัยอย่างยิ่งที่ไม่สามารถรักษาชีวิตท่านเหล่านั้นได้ ….” นายอนุทิน กล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันพื้นที่การระบาดสูงสุดของไทยคือ กทม. และปริมณฑล ซึ่ง กทม. นั้นกระทรวงสาธารณสุข ไม่ได้ควบคุมกำกับด้านสาธารณสุข เพราะ กทม.มีการบริหารราชการเป็นเอกเทศ ในขณะที่ต่างจังหวัดมี รพ.ครอบคลุม ทั้ง รพ.ศูนย์ รพ.ชุมชน ลงไปถึง รพ.สต. มีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดที่เปรียบเสมือนผู้ว่า มี อสม. ช่วยกันทำงาน ดังนั้นเทียบการทำงานของ กทม.ที่มีผู้ป่วยเยอะขนาดนี้ทำให้ระบบสาธารณสุขล้นเกินกว่าจะรับได้ มีปัญหาต้องรอเตียงที่บ้าน แต่กระทรวงสาธารณสุขปัดความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเป็นกระทรวงสาธารณสุขของประเทศ จะทำตัวแบบธุระไม่ใช่ก็คงไม่ใช่ เลยให้ปลัด สธ. และทีมงานสนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุขทุกรูปแบบให้ให้ กทม. ตั้งศูนย์ แรกรับ นิมิบุตร และเป็นแบบการทำโฮมไอโซเลชั่น และคอมมูนิตีไอโซเลชั่น
ตนไม่ได้อยู่นิ่งเฉย มีการทำงาน สั่งการตลอดเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมทำในเรื่องการดูแลสุขภาพประชาชน หากตนไม่รับผิดชอบขึ้นมา ถ้าบอกว่าอำนาจอยู่ที่ ศบค.หมดแล้ว ตนไม่เกี่ยวข้อง แต่บังเอิญคำว่า รมว.สธ.มีความหมายมากกว่านั้น และการที่ตนได้มาอยู่ที่กระทรวงนี้ ความสามารถของตนน่าจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ แม้อำนาจจะถูกจำกัดตามบทบาท ศบค. แต่ความเป็น รมว.สธ. ยังสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น และได้รับการสนับสนุนจากนายกฯ และ รมว.ทุกคน
“…ผมไม่ได้บริหารงานล้มเหลว ไม่เคยคิดแม้แต่น้อยที่จะกอบโกยผลประโยชน์ตามที่ฝ่ายค้านกล่าวหาให้เกิดความเข้าใจผิด หวังว่าประชาชนจะเข้าใจ และขอความกรุณาฝ่ายค้านหยุดเอาโควิดมาเล่นการเมือง ประชาชนเดือดร้อนอยู่ อยากให้มาร่วมแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนก่อน การแชร์รูปภาพต่างๆ เป็นการซ้ำเติม และบั่นทอนกำลังใจ เราต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาโควิดก่อน บ้านเมืองจะได้สงบสุข ก้าวหน้า เรามีหน้าที่สร้างประโยชน์และความสงบสุข…” นายอนุทิน กล่าว.