สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ต.ค.โดยอ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวระดับสูงในรัฐบาลวอชิงตัน เรื่องการเปิดพรมแดนทางบกและทางน้ำ ระหว่างสหรัฐ กับแคนาดา และเม็กซิโก ให้กับนักท่องเที่ยวซึ่งฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบแล้ว ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ซึ่งนายอเลฮันโดร มายอร์กาส รมว.ความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐ จะประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการอีกครั้ง ในวันพุธที่ 13 ต.ค.ตามเวลาท้องถิ่น
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะยังไม่ยกเลิก "คำสั่ง 42" ซึ่งกำหนดโดยรัฐบาลชุดก่อนหน้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาศัยอำนาจตามความในประมวลกฎหมายมาตรา 42 ว่าด้วยการผลักดันบุคคลซึ่งเดินทางมาจากประเทศที่มีสถานการณ์โรคระบาด เพื่อใช้ป้องกันและควบคุมความพยายามลักลอบข้ามพรมแดน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวในภาพรวม เป็นไปเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการเปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางเข้าสู่สหรัฐผ่านทางอากาศ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้ ซึ่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ( ซีดีซี ) ยืนยัน "การยอมรับอย่างเป็นทางการ" ต่อเอกสารยืนยันการฉีดวัคซีน หรือ "วัคซีนพาสปอร์ต" ที่ระบุว่า บุคคลนั้นฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งได้รับการอนุมัติฉุกเฉิน โดยคณะกรรมการอาหารและยา ( เอฟดีเอ ) หรือเป็นวัคซีนซึ่งอยู่ในบัญชีฉุกเฉิน ให้การรับรองโดยองค์การอนามัยโลก ( ดับเบิลยูเอชโอ )
ปัจจุบัน ดับเบิลยูเอชโอขึ้นทะเบียนเพื่อการใช้งานฉุกเฉิน ให้กับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้แก่ "แอสตราเซเนกา/ออกซฟอร์ด" "โควิชิลด์" ซึ่งเป็นชื่อทางการค้าของวัคซีนแอสตราเซเนกา/ออกซฟอร์ด ที่ผลิตในอินเดีย "ไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค" "จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน" "โมเดอร์นา" "ซิโนฟาร์ม" และ "ซิโนแวค" 

ขณะที่เอฟดีเอยังให้การรับรองเฉพาะวัคซีนของผู้ผลิตในอเมริกา คือ ไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และโมเดอร์นา.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES