เมื่อวันที่ 1 พ.ค.นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ อดีตพระพุทธะอิสระ  โพสต์เฟซบุ๊ก “หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)” ระบุว่า ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง ยิ่งทำให้สังคมเขาเหยียดหยาม ดูถูกว่าสงฆ์ปกครองว่าไม่เที่ยงธรรม

1 พ.ค. 2565

พระสงฆ์ องค์เณร สมัยนี้เขาหลงลืมคำว่า พระธรรมวินัยไปเสียแล้ว

ข่าวคลิปสาวไส้อันฉาวโฉ่ที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับนักเทศน์หนุ่มชื่อดังที่ปรากฏตามสื่อทุกช่อง จนเป็นที่ฮือฮากันไปทั่วสังคม

บรรดาแฟนคลับโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ถือหางอยู่ก็ออกมาปกป้องว่า ถูกกลั่นแกล้ง ใส่ร้าย มีขบวนการอิจฉาคอยบ่อนทำลาย

แต่พวกที่ไม่ใช่แฟนคลับก็ให้สงสัยว่า อะไรๆ มันดูจะเหมือนกันเสียขนาดนั้น ทั้งลีลาการพูดจา ทั้งน้ำเสียง แถมมีหลักฐานสลิปโอนเงินให้สาวเจ้าไปหลายหมื่น ทั้งที่ปากของนักเทศน์ก็ปฏิเสธว่า ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า

พอชาวบ้านเข้าไปค้นรูปเก่ามาแฉ แกก็แถไปว่า เขาแค่มาทำบุญด้วยเฉยๆ

อ้าว…ลิ้นไม่มีกระดูก มันก็อย่างงี้แหละ จะมาเอาอะไรกับอาตมา

ดูท่าลีลาแบบนี้มันจะคล้ายๆ กับอดีตนักเทศน์ชื่อดังที่รีบสึกไปก่อนหน้านี้

กิริยาพูดจาพลิกไปพลิกมาแบบนี้ ภาษาพระท่านเรียกว่า ทุมมังกุ คนผู้เก้อยาก พูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ หน้าxxxนั้นเอง

และไอ้ที่แปลกใจยิ่งนักก็คือ ไหนว่าธรรมยุต เขาไม่จับเงินไง แล้วพี่หลวงไปเอาเงินที่ไหนโอนให้สีกาทีละหลายๆ หมื่น

หากไม่ได้เป็นญาติ ไม่เคยมีบุญคุณอุปถัมภ์ บำรุงกันมาแต่เก่าก่อน หรือไม่เคยมีความสัมพันธ์อันลึกล้ำ พี่หลวงจะโอนไปให้สาวเจ้าทำไม

ทั้งที่ผู้หญิงอื่นก็ไปวัดนี้มีเป็นร้อยเป็นพัน ทำไมคุณเธอเหล่านั้นไม่ได้รับเงินจากพี่หลวงบ้าง

แล้วไม่ใช่โอนครั้งเดียว โอนให้หลายครั้ง ธรรมยุตไม่มีเงินเป็นของส่วนตัวไม่ใช่หรือ แล้วเอาที่ไหนไปเปย์สาว

ล่าสุด ได้ยินมาว่า สาวเจ้าออกมาขอโทษสังคม โดยอ้างว่าตนเป็นไบโพลาร์คิดไปเอง

สังคมเขาก็ยิ่งสงสัยหละซิว่า หากสาวเจ้าคิดไปเอง แล้วพี่หลวงก็คิดไปเองกับเธอด้วยหรือ ถึงขนาดมีคลิปเสียงที่พูดทั้งปลอบ ทั้งขู่ ทั้งขอร้องสารพัดลีลา ที่จะกล่อมให้สาวเจ้าหลงเชื่อ

คนที่เขามีสติปัญญาเขาฟังออกว่า นี่มันไม่ใช่คำพูดของนักบวชคุยกับคนป่วย แต่มันเป็นคำพูดของชายหญิงที่มีสัมพันธ์อันลึกล้ำมาหลายครั้ง แต่ฝ่ายชายกำลังจะตีตัวออกห่าง ด้วยความกลัวว่าจะถูกแฉ

ล่าสุด ก็เห็นว่า พี่หลวงได้ส่งทีมงานส่วนตัวไปเกลี้ยกล่อมญาติสาวเจ้า ให้เปลี่ยนท่าทีอยู่เงียบๆ งานนี้คงจะมีโบนัสก้อนใหญ่อะไรๆ มันก็เลยเป็นอย่างที่สังคมมึนงงกันอยู่ในเวลานี้

และที่เลวร้ายก็คือ พระภิกษุผู้ที่นำเรื่องนี้มาเปิดเผย กลายเป็นผู้ผิด ถูกเจ้าอาวาสไล่ออกจากวัด โทษฐานก่อความวุ่นวาย สร้างเรื่องให้พุทธศาสนาเสียหาย

(นี่มันบ้าชัดๆ สังคมสงฆ์เราคุ้นเคยกับวิธีปิดฟ้าด้วยฝ่ามือกันมายาวนาน เขาทำกันแบบนี้มาจนเคยชิน กลายเป็นที่กังขาของชาวบ้าน นี่แหละงานถนัดของผู้ปกครองสงฆ์)

แต่ที่ไม่ควรตีมึนก็คือ พระอุปัชฌาย์และเจ้าคณะปกครองของพี่หลวง ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายเถรสมาคม และหลักพระธรรมวินัยกันหรือไง พระธรรมวินัยกำหนดไว้ชัดในหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์ว่า ให้บวชแก่ผู้ใดต้องให้การกำกับดูแล อบรมสั่งสอนภิกษุนั้นจนกว่าภิกษุนั้นจะมีอายุพรรษาพ้น 5 พรรษา

พระอุปัชฌาย์มีหน้าที่หลักๆ 2 อย่าง คือเป็นผู้รับผิดชอบและรับรองผู้บวชในพิธีบรรพชาอุปสมบทและเป็นผู้รับปกครองดูแล แนะนำ ตักเตือนและติดตามความเป็นอยู่ของผู้ที่ตนบวชให้ เหมือนบิดาปกครองดูแลบุตร หากไม่ทำตามนี้มีความผิดฐานไม่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย ปรับอาบัติปาจิตตีย์

และไอ้ที่เลวร้ายก็คือ บวชได้แค่สองพรรษา เจ้าคณะปกครองดันแต่งตั้งให้รักษาการเจ้าอาวาสเสียงั้น

นี่มันวิปริตกันไปใหญ่แล้ว แถมยังปล่อยให้ตระเวนไปเทศน์สอนธรรมแก่ชนทั้งหลาย โดยไม่มีพระอุปัชฌาย์หรือพระผู้ใหญ่ติดตามไปกำกับดูแล

ไหนใครบอกว่า นักบวชฝ่ายธรรมยุต เคร่งครัดในหลักพระธรรมวินัยไงหละ