เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ณัฐกิตติ์ เจริญเกษสุวรรณ์ ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ พร้อมด้วย พ.ต.ท.สุรพงศ์ วรพิมพ์รัตน์ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองศรีสะเกษ ร่วมกับ ชุดปราบปรามยาเสพติดของกองกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 22 อุบลราชธานี และกำลังเจ้าหน้าที่ ตร.ชุดสืบสวน สภ.เมืองศรีสะเกษ สกัดจับผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องคดียาเสพติดกลางเมือง บริเวณสี่แยกห้างสรรพสินค้าซุ่นเฮงพลาซ่า ถนนกวงเฮง ต.เมืองใต้ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจวางกำลังสกัดจับรถรถกระบะ อีซูซุ สี เทา-ฟ้า ทะเบียน บต 6544 ศรีสะเกษ แต่คนร้ายไหวตัวทันขับรถพุ่งข้ามเกาะกลางถนน บริเวณสี่แยกซุ่นเฮงข้ามไปยังถนนฝั่งตรงข้าม เจ้าหน้าที่จึงรีบเข้าไปจับกุม แต่คนร้ายเร่งเครื่องรถขับหลบหนี เจ้าหน้าที่ใช้ปืนยิงใส่บริเวณล้อรถหลายนัดแต่ไม่เป็นผล คนร้ายขับรถพุ่งชนรถของประชาชนและรถตำรวจเสียหายหลายคัน ฝ่าวงล้อมหลบหนีไปได้

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขับรถไล่ติดตาม จนถึงบริเวณชุมชนบ้านหนองยาง ต.หนองครก อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ พบรถคนร้ายจอดทิ้งไว้แล้ววิ่งหลบหนีเข้าไปในป่าหลังบ้านประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงติดตามอย่างไม่ลดละ กระทั่งคนร้ายจวนตัวยิงสกัดเจ้าหน้าที่ เสียงปืนดังสนั่นหลายนัด เจ้าหน้าที่จึงทำการปิดล้อมพื้นที่บริเวณดังกล่าว กดดันคนร้าย จนสามารถจับกุมตัวคนร้าย 2 ราย ทราบชื่อ นายเอกชน ดาวเรือง (ช่างเอก) และ นายธีระวัฒน์ หล้าธรรม ทั้งคู่เป็นชาว อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ พร้อมตรวจยึดของกลางปืน 9 มม. 1 กระบอก พร้อมกระสุน 87 นัด และอาวุธปืนแบลงค์กัน 1 กระบอก ซึ่งคนร้ายโยนทิ้งขณะวิ่งหลบหนีในป่า และจากการตรวจสอบภายในรถพบยาบ้าอีก 28,000 เม็ด จึงเก็บและบันทึกไว้เป็นหลักฐาน

สอบสวนเบื้องต้น ทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 หลบหนีการจับกุมมาจากพื้นที่ อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร หลังถูกตำรวจในพื้นที่ยโสธร ทำการล่อซื้อยาบ้าของกลางดังกล่าว แต่ระหว่างนัดส่งมอบยาบ้าตามจุดนัดหมาย เจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวจะเข้าจับกุม แต่ผู้ต้องหาไหวตัวทันขับรถหลบหนีเข้ามาใน จ.ศรีสะเกษ จึงประสานตำรวจพื้นที่เมืองศรีสะเกษ ช่วยสกัดจับ กระทั่งมาติดไฟแดงบริเวณสี่แยกซุ่นเฮง กลางเมืองศรีสะเกษ จนเกิดการยิงกันสนั่นเมืองเพื่อสกัดจับแต่ก็ไล่ชนรถที่ขวางทางหลบหนีไปได้อีกก่อนรถเสียหายไม่สามารถขับต่อได้จึงทิ้งรถและยาบ้า วิ่งหนีเข้าป่าไปแต่ก็ถูกปิดล้อมจับกุมดังกล่าว โดยมีประชาชนที่่อยู่ในที่เกิดเหตุถ่ายคลิปไว้ได้ ก่อนนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางไปสอบสวนขยายผล ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป