เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เผยแพร่เอกสารข่าว ระบุ “ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาลงโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่กระทำการเรียกรับเงินจากสถานบริการอาบอบนวด”

สืบเนื่องจากคดีนี้ ได้มีการกล่าวหา ดาบตำรวจนายหนึ่ง ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ว่ากระทำการทุจริตในภาครัฐ กล่าวคือ อาศัยโอกาสที่ตนมีอำนาจหน้าที่สืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย กระทำการเรียกหรือรับทรัพย์สินโดยมิชอบด้วยกฎหมายจากสถานบริการนาตารี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ อาบอบนวด เพื่อแลกเปลี่ยนกับการไม่ดำเนินการสืบสวนคดีอาญาและเข้าตรวจค้นจับกุมผู้กระทำความผิดทางอาญา จำนวน 65 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 641,000 บาท

คณะกรรมการ ป.ป.ท. พิจารณาแล้วในคราวประชุมครั้งที่ 29/2563 เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 63 มีมติชี้ว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 และมาตรา 157 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 และมาตรา 123/2 ต่อมาพนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้ถูกกล่าวหา เป็นจำเลยต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

จากนั้นเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 65 ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขดำที่ อท 18/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อท 12/2565 โดยพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 (เดิม) พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 173 การกระทำของจำเลยเป็นความผิด หลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 5 ปี รวม 65 กระทง จำคุก 325 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้จำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3)

ทั้งนี้ พนักงานอัยการพิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยต่างกรรมตามคำฟ้องของโจทก์ ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 65 กระทง จำคุก 325 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้จำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ชอบแล้ว ไม่มีเหตุอุทธรณ์ เห็นควรไม่อุทธรณ์ คณะกรรมการ ป.ป.ท. พิจารณาเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 65 ที่ผ่านมาแล้วมีมติเห็นชอบไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตามความเห็นของพนักงานอัยการ.