เมื่อวันที่ 6 ก.ค. นายอุตตม สาวนายน อดีตรมว.คลัง หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศอัตราเงินเฟ้อประเทศไทยเดือนมิ.ย.65 สูงขึ้นถึงร้อยละ 7.66 เมื่อย้อนดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อตั้งแต่เดือน ม.ค. อยู่ที่ร้อยละ 3.23 เดือนก.พ.ร้อยละ 5.28 เดือนมี.ค. ร้อยละ 5.73 เดือนเม.ย. ร้อยละ 4.65 และเดือน พ.ค. ร้อยละ 7.10 ทั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงว่า อัตราเงินเฟ้อประเทศไทยอยู่ในทิศทางขาขึ้น ซึ่งชี้ว่าประชาชนยังต้องเผชิญกับความเดือดร้อนเรื่องภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการก็ยังต้องแบกรับต้นทุนที่สูงต่อไป ที่สำคัญผลกระทบนี้ก็ยังอาจจะขยายวงกว้างเร็วกว่าที่คาด หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบและทันต่อสถานการณ์

อดีตรมว.คลังกล่าวต่อว่า จากการที่ล่าสุดรัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด ชุดแรกคือ คณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ นายกฯเป็นประธานด้วยตัวเอง ส่วนอีกชุดคือ คณะกรรมการเฉพาะกิจติดตามประมวลผลวิเคราะห์ผลกระทบ และจัดทำข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาทุกมิติ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ปัจจุบัน จำเป็นที่คณะกรรมการดังกล่าวรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่งวางมาตรการที่เหมาะสม และกำหนดแนวทางขับเคลื่อนให้ตรงเป้ามีผลจริงจังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการดำเนินการนั้นประเด็นสำคัญคือ วิกฤติซ้ำซ้อนที่ผ่านมาจากการระบาดของโควิด ราคาพลังงานพุ่งสูง ภาวะเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มถดถอย ได้ส่งผลกระทบต่อฐานะการคลังของประเทศ โดยเฉพาะการก่อหนี้ที่อยู่ในระดับสูง (แน่นอนบางขณะมีความจำเป็น แต่ต้องใช้เงินที่กู้มาอย่างมีประสิทธิภาพแท้จริง) ประกอบกับการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นนั้น กำลังทำให้ความยืดหยุ่นและทางเลือกในการออกมาตรการดูแลเศรษฐกิจปากท้องประชาชนของรัฐบาลกำลังมีข้อจำกัดยิ่งขึ้น

สถานการณ์ปัจจุบันจึงเป็นความท้าทายสำคัญยิ่งของรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐ ที่กำกับดูแลแก้ไขปัญหาต่างๆ ตนจึงเห็นว่ารัฐบาลควรมีแนวทางในการดำเนินการดังนี้ ประการแรก การดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ ยังต้องดำเนินการต่อเนื่อง แต่ขณะที่การคลังมีข้อจำกัดมากขึ้นนั้น รัฐบาลควรพิจารณากำหนดชุดมาตรการอย่างรอบคอบให้ตอบโจทย์ โดยคำนึงถึงการจัดลำดับความเร่งด่วน ความจำเป็นในการดูแลแต่ละภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบในลักษณะต่างๆ ให้ชัดเจน

ประการที่สองการดำเนินนโยบายการเงินการคลัง ด้านการลงทุนและอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาความสมดุล ระหว่างการดูแลสภาวะเงินเฟ้อขาขึ้น เช่น ด้วยนโยบายการเงินที่จะนำไปสู่อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น กับการดูแลสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เช่น ด้วยมาตรการด้านการคลังต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้จริงและต่อเนื่อง ผู้ประกอบการอยู่รอดและมีโอกาสเติบโต

“ผมหวังว่าคณะทำงานที่รัฐบาลตั้งขึ้น จะได้ทำงานอย่างเต็มที่ภายใต้ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกับธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมีความอ่อนไหวสูงและเปลี่ยนแปลงได้ทุกขณะ จึงต้องมีการบริหารจัดการความท้าทายที่เรากำลังเผชิญให้ทันเวลาและมีประสิทธิภาพ” อดีตรมว.คลัง กล่าว

Attachments area