เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พ.ต.ต.เวียงแก้ว สุภาการณ์ สว.(สอบสวน) สน.ปทุมวัน นำตัว นายอานนท์ นำภา อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับในความผิดฐาน หมิ่นประมาทดูหมิ่นสถาบันฯเเละข้อหาอื่นๆไปยื่นคำร้องขอฝากขังครั้งเเรกเป็นเวลา 12 วันตั้งเเต่วันที่ 11-22 ส.ค. เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นต้องสอบสวนปากคำพยานอีก 10 ปากและรอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหา

คำร้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ในวันที่วันที่ 3 ส.ค. เวลา 16.00 น. ที่ลานด้านหน้าหอศิลปะกรุงเทพฯ มีกิจกรรมการชุมนุมเสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาชน เวลาประมาณ 17.35-18.09 น. ในระหว่างดำเนินกิจกรรมการชุมชุน ดังกล่าวผู้ต้องหาได้กล่าวปราศรัยดูหมิ่นใส่ความหมิ่นประมาทสถาบันผ่านเครื่องขยายเสียงบนรถยนต์กระบะด้วยเจตนาให้เสื่อมพระเกียรติถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ต่อมาหลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ได้รับคำร้องทุกข์ไว้

วันเกิดเหตุ ผู้กล่าวหาที่ 2 ได้รับชมการถ่ายทอดสดการปราศรัยของผู้ต้องหาผ่านเฟซบุ๊กและเห็นว่าข้อความที่ผู้ต้องหาปราศรัยในวันเกิดเหตุเป็นการหมิ่นประมาทดูหมิ่นสถาบันจึงมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาให้ได้รับโทษในความผิดตามประมวลกฎหมายมาตรา 112 อีกฐานหนึ่งด้วย

ต่อมา พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและขอศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติออกหมายจับลงวันที่ 9 ส.ค.64 และในวันเดียวกันได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาได้ตามหมายจับดังกล่าวส่งพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ดำเนินคดีต่อมาพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้ผู้ต้องหาทราบว่า ร่วมกันฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 9 (2) ตามประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงเรื่องห้ามการชุมนุมการทำกิจกรรมการมั่วสุมที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา โดยร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพรโรคในพื้นที่ที่มีประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด, ตามประกาศกรุงเทพมหานครเรื่องสั่งปิดสถานที่ชั่วคราว (ฉบับที่ 36) โดยร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่าห้าคน”

ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา เหตุเกิดที่บริเวณหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ถนนพระรามที่ 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 3 ส.ค.64 ระหว่างเวลาประมาณ 15.30-19.00 น.

การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, 83 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 9 (2) ตามประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงเรื่องห้ามการชุมนุมการทำกิจกรรมการมั่วสุมที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา โดยร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพรโรคในพื้นที่ที่มีประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด, ตามประกาศกรุงเทพมหานครเรื่องสั่งปิดสถานที่ชั่วคราว (ฉบับที่ 36) โดยร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่าห้าคน”

ท้ายคำร้องระบุว่า หากผู้ต้องหายื่นคำร้องขอประกันตัวพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัวว่าหากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้วผู้ต้องหาจะไปทำการก่อเหตุอันตรายประการอื่นเนื่องจากตามเนื้อหาในการปราศรัยของผู้ต้องหาจากบันทึกการถอดเทปกลุ่มผู้ชุมนุมกิจกรรมเสกคาถาแฮรี่พอตเตอร์ เป็นการกล่าวถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพรักของประชาชนไทยในลักษณะที่เป็นการดูหมิ่นหมิ่นประมาทอันเป็นการกระทำที่มิบังควรอย่างยิ่ง

ในฐานะประชาชนชาวไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารคนหนึ่ง ถือเป็นการกระทำความผิดอันร้ายแรง ผู้ต้องหามีความรู้ด้านกฎหมายและประกอบอาชีพทนายความยิ่งต้องเข้าใจว่าการกระทำของตนเองเป็นการลบลู่ดูหมิ่นสถาบันอันเป็นความผิดนอกจากนี้ผู้ต้องหาได้กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง แต่อย่างใด

หากปล่อยไปสามารถกระทำผิดในลักษณะดังกล่าวโดยไม่ได้รับการพิจารณาโทษ จะยิ่งเป็นเยี่ยงอย่างให้บุคคลอื่นกระทำตามจะยิ่งกระทบถึงพระเกียรติคุณสถาบัน อีกทั้งยังเป็นการกระทำผิดเงื่อนไขของศาลอาญาในคดีหมายเลขดำที่ อ. 287/2564ที่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหานี้เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.64 โดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ต้องหาไม่ไปกระทำกิจกรรมที่กระทำความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และไม่ร่วมการชุมนุมที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองอีกด้วย

และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด อันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศพบว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่ซึ่งยังไม่แสดงอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อโรคได้ในอัตราเร่งที่สูงมากและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากได้ทวีความรุนแรงจนเสี่ยงที่จะเกิดภาวะวิกฤติด้านสาธารณสุขโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและในพื้นที่สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศประกอบกับเชื้อโรคได้กลายพันธุ์เป็นหลายสายพันธ์ุและสามารถแพร่กระจายได้ง่ายอีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดในต่างประเทศอันอาจกระทบต่อประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่รุนแรงจนไม่อาจวางใจได้

และหากผู้ต้องหาไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราวเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจะรับตัวผู้ต้องหาไปทำการคุมขังนั้นก็มีมาตรการและขั้นตอนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด โดยเรือนจำมีประสานกับสำนักงานสาธารณสุขพื้นที่เพื่อตรวจสอบมาตรฐานในการเตรียมรองรับกรณีมีผู้ติดเชื้อได้ทันที, มีการตั้งศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (ศบค.) ประจำเรือนจำ, มีการคัดกรองและตรวจหาเชื้อไวรัสโควิดในผู้ต้องขังหากพบเชื้อให้ X-ray ปอดทุกรายรวมถึงให้ยาและรักษาให้เร็วเพื่อไม่ให้เกิดการระบาดในวงกว้าง, มีการใส่คลอรีนผสมในน้ำสำหรับอาบของผู้ต้องขัง, กรณีผู้ต้องขังป่วยมีการแจ้งให้ญาติทราบเป็นการเฉพาะรายทางโทรศัพท์หรือช่องทางอื่นอีกด้วย รวมทั้งเชื่อว่าถ้าผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่วคราวแล้วก็จะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108/1 (3) จากเหตุดังกล่าวข้างต้นหากผู้ต้องหายื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราวข้อ

พนักงานสอบสวนมีความประสงค์ขอดำเนินการยื่นคำร้องขอฝากขัง โดยขอให้ศาลสอบถามผู้ต้องหาหรือทำการไต่สวนพยานหลักฐานในการออกหมายขังผู้ต้องหาผ่านระบบการประชุมทางจอภาพในการฝากขังครั้งต่อ ๆ ไปทุกครั้ง

วันนี้ผู้ร้องผู้ต้องหาและทนายผู้ต้องหามาศาลไต่สวนผู้ร้อง 1 ปากคดีเสร็จการไต่สวน ผู้ต้องหาแถลงว่า มีอาชีพเป็นทนายความจบการศึกษานิติศาสตร์ เป็นสามัญสามาชิกเนติบัณฑิตไทยมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและติดต่อได้คือบ้านย่านลาดพร้าว บ้านพักดังกล่าวนั้นเป็นสถานที่ทำงานของตัวผู้ต้องหาด้วย สามารถติดต่อมีหมายเรียกหรือส่งจดหมายได้ผู้ต้องหามีอาชีพทนายความ มาว่าความที่ศาลอาญากรุงเทพใต้เป็นประจำ ประวัติของผู้ต้องหายังไม่เคยผิดสัญญาประกันไม่มีประวัติการหลบหนีรวมทั้งคดีนี้ผู้ต้องหาก็เข้ามอบตัวเมื่อทราบว่ามีหมายจับ

ศาลสอบผู้ต้องหาการฝากขังครั้งต่อไปผู้ร้องมีความประสงค์ขอดำเนินการยื่นฝากขังผ่านระบบการประชุมจอภาพครั้งต่อ ๆ ไปทุกครั้งผู้ต้องหาแถลงยินยอมให้มีการฝากขังด้วยระบบการประชุมทางจอภาพผ่านเรือนจำเฉพาะในการฝากขังครั้งที่ 2 เท่านั้นส่วนการฝากขังครั้งต่อไปขอให้ศาลสอบถามในฝากขังครั้งที่ 2

โดยศาลพิเคราะห์คำร้องขอฝากขังคำร้องคัดค้านและคำให้การผู้ร้องแล้วเห็นว่า ผู้ร้องยืนยันว่า มีเหตุจำเป็นที่ต้องขอฝากขังผู้ต้องหาเพราะการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากต้องทำการสอบสวนพยานอีก 10 ปาก และต้องรอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหาประกอบกับผู้ร้องเกรงว่า หากไม่ขอฝากขังผู้ต้องหาไว้ ผู้ต้องหาอาจไปข่มขู่พยานบุคคลที่ได้มีการฟังคำปราศรัยของผู้ต้องหาหรือยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ทำให้การสอบสวนของเจ้าพนักงานอาจเกิดข้อขัดข้องได้

เมื่อพิจารณาถึงข้อหาความผิดที่กล่าวหาแล้วเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10 ปีเมื่อการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นจึงมีความจำเป็นต้องฝากขังผู้ต้องหาระหว่างสอบสวนเพื่อทำการสอบสวนต่อ แม้ผู้ต้องหาจะคัดค้าน แต่พนักงานสอบสวนอ้างถึงเหตุจำเป็นต้องสอบสวนเพิ่มเติมจึงอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาได้ตามคำขอ กำชับให้ผู้ร้องเร่งรัดการสอบสวนพยานบุคคลที่มิใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จนช่วงเย็น ยังไม่มีผู้ใดยื่นขอประกันผู้ต้องหา ภายหลังศาลอนุญาตฝากขังได้