สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 26 ก.ย. ว่าเอ็กซิตโพลของการเลือกตั้งทั่วไปในอิตาลี ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ปรากฏว่า พรรคบราเธอร์ส ออฟ อิตาลี ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดภายใต้การนำของนางจอร์เจีย เมโลนี ได้รับการเลือกตั้งระหว่าง 22-26% ทิ้งห่างพรรคคู่แข่งสำคัญ คือพรรคประชาธิปไตย ซึ่งเป็นพรรคสายกลาง-ซ้าย ของนายเอ็นริโก เลตตา อดีตนายกรัฐมนตรี


ทั้งนี้ หากรวมผลของพรรคบราเธอร์ส ออฟ อิตาลี กับพันธมิตรพรรคฝ่ายขวา คือพรรคฟอร์ซา อิตาเลีย ของอดีตนายกรัฐมนตรีซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี และพรรคสันนิบาตของนายมัตเตโอ ซัลวินี ปรากฏว่า พันธมิตรทั้งสามพรรคร่วมกันกวาดที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ระหว่าง 227-257 จากทั้งหมด 400 ที่นั่ง และ 111-131 จากทั้งหมด 200 ที่นั่งในวุฒิสภา ครองเสียงข้างมากได้เกินครึ่ง

พันธมิตรพรรคฝ่ายขวาอิตาลี ที่เป็นการรวมตัวของพรรคสันนิบาติ โดยนายมัตเตโอ ซัลวินี ( คนซ้าย ) พรรคฟอร์ซา อิตาเลีย ของนายซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี ( คนกลาง ) และพรรคบราเธอร์ส ออฟ อิตาลี ของนางจอร์เจีย เมโลนี ร่วมกันปิดฉากการหาเสียงที่กรุงโรม เมื่อวันที่ 22 ก.ย. ที่ผ่านมา


ยิ่งไปกว่านั้น การที่เมโลนีเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่สุดในพันธมิตรฝ่ายขวา หมายความว่า เธอจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอิตาลี ในวัย 45 ปี ซึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นกับการเมืองของอิตาลีเป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิดของสหภาพยุโรป ( อียู ) และนานาประเทศมานานระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากผลการเลือกตั้งครั้งนี้ สะท้อนกระแสฝ่ายขวามาแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของอิตาลี เมื่อเทียบกับการที่พรรคของเมโลนีได้รับการเลือกตั้งเพียง 4% เมื่อปี 2561


ขณะที่ เมโลนี ยืนยันว่า พรรคของเธอเป็นเพียงพรรคอนุรักษนิยมทั่วไป ไม่ใช่พรรคฟาสซิสต์ เธอมีจุดยืนสนับสนุนนโยบายของอียูเรื่องยูเครน และจะไม่ดำเนินการใดก็ตาม ที่จะเป็นการ “เพิ่มความเสี่ยง” ให้กับเศรษฐกิจของอิตาลี ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในยูโรโซน แต่ยังคงเผชิญกับสภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว.

เครดิตภาพ : REUTERS