เมื่อวันที่ 21 พ.ย. จากกรณีเจ้าของที่ดิน ชาวท่ามะขาม จ.กาญจนบุรี เข้าร้องกับเพจสายไหมต้องรอด หลังเจอคนมาสร้างบ้านจัดสรรบนที่ดินของตนเอง 2 หลัง เต็มทั้งพื้นที่ โดยที่ตนไม่ทราบเรื่องมาก่อน และไม่เคยจ้างผู้รับเหมาให้มาก่อสร้างบ้านบนพื้นที่ดังกล่าว ทั้งยังถูกทางเทศบาลสั่งปรับเงิน ฐานก่อสร้างไม่ได้รับอนุญาต วันนี้รายการโหนกระแส เชิญทั้งทางเจ้าของที่ดิน และผู้สร้างบ้านมาพูดคุยในรายการ

นายไพรัตน์ เจ้าของที่ดิน เล่าว่า ที่ดินของตนมีเอกสารสิทธิอย่างถูกต้อง จำนวน 110.5 ตารางวา เป็นที่ดินที่ใกล้โรงเรียน ใกล้ตลาด วางแผนจะเอาไว้สร้างห้องเช่าเป็นรายได้ตอนแก่ ครอบครองมาตั้งแต่ปี 2557 ระหว่างที่ไม่ได้ทำอะไร ได้ให้ป้าในพื้นที่มาปลูกไม้ผล สร้างประโยชน์ เพื่อไม่ให้ที่รกร้าง มีการเข้าไปดูที่ของตัวเองมาตลอด จนกระทั่งช่วงกลางปี 2564 ที่เป็นช่วงโควิดระบาด ก็ไม่ได้เข้าไปดู กระทั่งเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 64 ได้รับหนังสือจากทางที่ดิน ให้มานำชี้วัดแนวเขตที่ดินข้างเคียง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานเข้ามาร่วมตรวจแนวเขตชี้วัด

ปรากฏว่า เมื่อมาถึงกลับพบว่ามีผู้มาปลูกสร้างบ้านจำนวน 2 หลัง ในที่ดินของตนเอง ซึ่งก็คือผู้ที่เป็นคนร้องขอวัดที่ดินในวันดังกล่าว เมื่อได้พูดคุยจึงทราบว่า เป็นการปลูกบ้านในที่ดินผิดแปลง จากนั้นเจ้าหน้าที่เทศบาลก็ได้มาชี้แจงว่า จะออกหนังสือคำสั่งระงับการก่อสร้าง เนื่องจากบ้านทั้งสองหลังปลูกสร้างโดยไม่ได้ขออนุญาต

แต่หนังสือดังกล่าวกลับออกมาแจ้งต่อตนเองที่ไม่ได้เป็นคนสร้างบ้าน แต่เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกบุกรุก แถมในหนังสือยังระบุว่า จะดำเนินการปรับเงิน ฐานก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใด ทั้งที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้สร้างบ้านทั้งสองหลัง แถมยังเป็นผู้ที่ถูกบุกรุกที่ดิน แต่กลับจะต้องมาเสียค่าปรับเช่นนี้ด้วย โดยหลังเกิดเรื่องได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ลาดหญ้าพร้อมกับนำเอกสารยืนยันการถือครองที่ดินไปแจ้งความข้อหาบุกรุกกับผู้ที่มาสร้างบ้านในที่ดินตนเอง

นอกจากนี้ได้ไปร้องที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ซึ่งก็ได้มีการนัดไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีมาหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ทำให้เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ทั้งที่ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดแต่เป็นผู้เสียหายที่ถูกบุกรุกที่ดิน

ขณะที่ นางเกญชญา อายุ 50 ปี ผู้ที่ไปสร้างบ้านผิดแปลง ยอมรับว่า ตนไปสร้างบ้านจริง แต่ไม่ได้เจตนาจะหวังเอาที่ดินของเขา ตนซื้อที่ดินมาจากคนรู้จัก คนขายชี้ที่ดินบริเวณนี้โดยที่ไม่รู้จริงๆ ว่าที่ดินมีขนาดเท่ากันและอยู่ติดกัน

จนกระทั่งไปจ้างเจ้าหน้าที่วัดที่ดินของเอกชน มาทำการวัด จึงได้ทราบว่าตนเองสร้างบ้านในที่ดินผิดแปลง เจ้าหน้าที่บอกว่าเจ้าของที่ใจดี ให้ลองพูดคุยไกล่เกลี่ยกันดู หลังทราบเรื่องก็สั่งให้หยุดการก่อสร้างทันที มีการติดต่อนายไพรัตน์ เจ้าของที่ดินตัวจริงเพื่อไกล่เกลี่ย แจ้งว่าตนยินยอมที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว และหากมีค่าปรับใดๆ ตนก็พร้อมรับผิดชอบทั้งสิ้น เพราะยอมรับว่าผิดจริงๆ

ราคาที่ดินของนายไพรัตน์ ราคาประเมินอยู่ที่ประมาณ 3 แสนถึง 4 แสนบาท แต่หลังจากพูดคุยรวมถึงนัดเจรจาหลายครั้ง ก็ยังไม่สามารถตกลงกันได้ เนื่องจากเจ้าของที่ดินเรียกร้องเงินค่าขายที่เป็นจำนวนเงิน 2 ล้านบาท ซึ่งแพงกว่าราคาประเมินหลายเท่า ซึ่งตนก็พยายามต่อรอง และพร้อมที่จะจ่ายให้ในราคา 1,200,000 บาท แต่เจ้าของที่ดินก็ยังไม่ยินยอม ทำให้การเจรจาไม่มีความคืบหน้า ซึ่งยืนยันว่ายินดีที่จะซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวให้ถูกต้องเพื่อจะได้จบปัญหา แต่เนื่องจากราคาที่เจ้าของเรียกมาสูงเกินที่จะสามารถหามาจ่ายได้ จึงอยากขอความเมตตาช่วยลดราคาลงมา เพื่อจบปัญหาดังกล่าวด้วยดี

ขณะที่ อ.ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโสสำนักงานการสอบสวน ชี้ว่าตามกฎหมาย ถ้าเจ้าของที่ไม่ได้มีความประมาท ปล่อยให้คนอื่นเข้ามาสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง มีสิทธิสั่งรื้อถอนได้ทันที หรือไม่ก็มีสิทธิครอบครองบ้านทั้งสองหลังเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองทันที โดยเจ้าของที่ก็ต้องจ่ายราคาส่วนเกิน ที่ราคาเพิ่มขึ้นมาจากเดิม หลังมีการสร้างบ้านให้ทางผู้ที่สร้างไป แต่เท่าที่มองแล้ว หากใช้กฎหมายมาว่ากัน มันไม่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย อยากให้ทั้งเจ้าของที่ และผู้สร้างบ้าน มาพูดคุยหาทางออกร่วมกัน จะแลกที่ดินกัน หรือจะสร้างบ้านให้เสร็จแล้วมาแบ่งผลประโยชน์ให้ทีหลังก็ยังทำได้

เรื่องนี้ต้องยอมถอยกันคนละนิด อย่าถือเรื่องอารมณ์เป็นที่ตั้ง อยากให้ทั้งสองฝ่ายลองกลับไปทบทวนให้ดี แล้วมาคุยกัน เพราะหากตกลงกันได้ แลกที่ดินกันได้ หรือตกลงกันได้ในที่สุด ทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์มากกว่า

ขณะที่คุณไพรัตน์ เจ้าของที่ดินบอกว่า ตอนนี้ไม่อยากขายที่แล้ว จะราคา 2 ล้าน ก็ไม่อยากขายแล้ว เก็บไว้ทำประโยชน์ตามที่ตนเองตั้งใจไว้ยังดีกว่า หรือฟังทางเลือกจากทาง อ.ปรเมศวร์ แล้ว ก็คิดว่าทางที่เป็นไปได้มากสุด ก็คือจ่ายเงินส่วนต่าง แล้วรับบ้านทั้ง 2 หลังนั้นไว้เป็นของตน เพราะตนก็ต้องเลือกทางที่ได้ประโยชน์กับตนมากที่สุดเหมือนกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก รายการโหนกระแส