จากกรณี ทนายษิทรา หรือทนายตั้ม เบี้ยบังเกิด ออกมาโพสต์ถึงประเด็นร้อนอดีตรองนายกรัฐมนตรีฉาว ชื่อย่อ ย. แอบคบชู้กับหญิงสาวเมียคนอื่น พร้อมกับรูปภาพลับสุดสยิวหลุดว่อนโซเชียล จนกลายเป็นประเด็นดราม่าทางสังคม โดยทางทนายตั้มออกมาใบ้ชื่อย่อ อดีตรองนายกฯ ที่ตกเป็นข่าวโดยระบุว่า เคยเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และปัจจุบันลาออกจากพรรคไปเมื่อปี 2561 และเคยมีตำแหน่งเกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ชอบกีฬากอล์ฟ แต่ไม่ชอบสนามกอล์ฟอัลไพน์

ต่อมาปรากฏหนังสือที่ พ.ต.ท.วันชัย พันธพัฒน์ สว.(สอบสวน) สน.บางยี่ขัน กรุงเทพฯ ทำหนังสือถึง นาย ย. ซึ่งคาดว่าเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้เสียหายว่า ตามที่นาย ย. ได้แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีกับ น.ส.ธ. ผู้ต้องหาที่ 1 (หญิงที่ปรากฏเป็นข่าว) นาย จ. ผู้ต้องหาที่ 2 (สามีผู้ต้องหาที่ 1) นาง ธ. ผู้ต้องหาที่ 3( แม่ผู้ต้องหาที่ 1) และนาย พ. ผู้ต้องหาที่ 4 (พ่อผู้ต้องหาที่ 1) ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง เนื่องจากอดีตรองนายกรัฐมนตรีเสียรู้ฝ่ายหญิง หลงรักเพราะถูกหลอกลวงว่าไม่มีสามี และตั้งใจจะสู่ขอโดยนำสินสอดกว่า 19 ล้านบาท ไปมอบให้ครอบครัวฝ่ายหญิง ก่อนถูกตีตัวออกห่างในที่สุด ซึ่งคดีนี้พนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ไว้แล้ว ขณะที่ นายษิทรา ได้พาสามีผู้ช้ำรัก เข้าแจ้งความเอาผิดอดีตรองนายกรัฐมนตรี ฐานแจ้งความเท็จ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

คดีอาจพลิก! เปิดที่มาคดีฉ้อโกงอดีตรองนายกฯ สูญสินสอดกว่า19ล้าน

ภายหลังปรากฏคดีฉาวดังกล่าว ทำให้เป็นที่โจษขานของสังคมอย่างกว้างขวาง พร้อมตั้งหน้าตั้งตารอดูว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่อดีตรองนายกรัฐมนตรีคนดังจะออกมาแสดงตัว พร้อมโต้ข้อครหากอบกู้ชื่อเสียงให้กับตนเอง อีกทั้งเปิดเผยความจริงเพื่อให้สังคมรับรู้

-กว่า 20 ปีที่ผ่านมา เคยเกิดเรื่องอื้อฉาว สาวร้องถูก อดีต รมช.มหาดไทย ข่มขืน!!!

จาก ปริศนา ‘พิศวาสซ่อนเงื่อน’ เรื่องความรักสุดสยิว ระหว่างอดีตรองนายกรัฐมนตรีคนดัง ที่กลายเป็น ‘ชู้รัก’ กับสาวเมียคนอื่น ที่ยังไม่รู้ความจริงเป็นเช่นไร ทำให้หวนนึกถึงคดีดังสุดฉาวโฉ่แวดวงการเมืองไทย เมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ที่ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยสมัยนั้น เคยถูกสาวคนสนิท พยายามแบล็กเมล์อ้างว่าถูกข่มขืนในโรงแรม กระทั่งหลังต่อสู้คดีความกันถึง 3 ศาล ในที่สุด ศาลฎีกาก็พิพากษา สั่งจำคุกฝ่ายหญิง รวมโทษฐานหมิ่นประมาท และแจ้งความเท็จเป็นเวลา 3 ปี และให้ชดใช้ค่าเสียหาย 1 ล้านบาท พร้อมลงโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์รายวันเป็นเวลา 10 วันติดต่อกัน

-กองปราบฯ สั่งไม่ฟ้อง-หลักฐานไม่เพียงพอ!!!

เมื่อย้อนคดีดังกล่าว พบว่า เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2545 อดีตลูกจ้างประจำสำนักงานผังเมืองและโยธาธิการ จังหวัดตราด อายุ 29 ปี เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อตำรวจบังคับการกองปราบปราม กล่าวหาว่า ถูกรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทยสมัยนั้น ลงมือข่มขืนกระทำชำเราในโรงแรมม่านรูดย่านประดิพัทธ์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 พ.ย.45 กลายเป็นข่าวอึกทึกคึกโครมในเวลานั้นเป็นอย่างมาก ต่อมาพนักงานสอบสวนกองปราบฯ ลงพื้นที่เก็บรวบรวมหลักฐานและสอบปากคำพยานแวดล้อม กระทั่งในเวลาต่อมามีความเห็นสั่งไม่ฟ้องรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยตามข้อกล่าวหาของ ฝ่ายหญิง เนื่องจากเห็นว่ามีพยานหลักฐานไม่เพียงพอ

-อดีต รมช.มหาดไทย ฟ้องกลับ เรียกค่าเสียหาย 50 ล้าน!!!

ต่อมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ฝ่ายหญิง เป็นจำเลยในความผิดฐานกรรโชก รีดเอาทรัพย์ แจ้งความเท็จ และหมิ่นประมาท พร้อมกับเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ต่อศาลอาญา โดยศาลไต่สวนโจทก์เบิกความว่า วันที่ 21 พ.ย.45 จำเลยโทรศัพท์มาหาและขอเงิน 20,000 บาท เพื่อนำไปชำระค่าเทอมในการเรียนปริญญาปีที่ 4 โจทก์จึงนัดให้ไปพบที่ตลาด อ.ต.ก. และเมื่อโจทก์รับจำเลยมาจากร้านจึงพาไปโรงแรมม่านรูด ย่านประดิพัทธ์ โดยโจทก์บอกว่าไม่มีถุงยางอนามัยมา แต่จำเลยยินยอม และบอกว่าจะให้บริการออรัลเซ็กซ์ โจทก์และจำเลยจึงร่วมประเวณีโดยจำเลยทำออรัลเซ็กซ์ให้โจทก์สำเร็จความใคร่ และโจทก์ขับรถยนต์พาจำเลยส่งริมถนน ด้านหน้าพร้อมให้เงิน 20,000 บาทแก่จำเลย

จากนั้นวันที่ 10 ม.ค.46 จำเลยโทรศัพท์มาขอเงิน 1 ล้านบาทหลายครั้ง และข่มขู่ว่าหากไม่ให้จะโทรฯแจ้งภรรยาและเปิดเผยข่าวแก่สื่อมวลชน จากนั้นมีเสียงผู้หญิงโทรไปหาภรรยาโจทก์ที่บ้าน โดยครั้งแรกบอกว่าเป็นตำรวจหญิงรับแจ้งความจากจำเลยว่าโจทก์ข่มขืนกระทำชำเราจำเลย และครั้งที่สองเป็นเสียงผู้หญิงอีกอ้างว่าเป็นผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด ต่อมาวันที่ 13 ม.ค.46 จำเลยไปแจ้งความที่กองปราบฯ ให้ดำเนินคดีกับโจทก์ ข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา โดยนำหลักฐานกระดาษทิชชูที่จำเลยเช็ดคราบอสุจิและเก็บไว้ในตู้เย็น รวมทั้งกางเกงชั้นในของจำเลยไปเป็นหลักฐาน

-สาวคอตก ผิด กรรโชก-แจ้งความเท็จ-หมิ่นประมาท คุก 7 ปี ชดใช้ 10 ล้าน!!!

ศาลไต่สวน ฝ่ายหญิง จำเลยเบิกความว่ารู้จักกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โจทก์ ผ่านทางน้องชายโจทก์ ที่เป็นรองผวจ.จันทบุรี สมัยนั้น ต่อมาน้องชายโจทก์ยืมเงินจำเลย 6 แสนบาท ถึง 2 ครั้ง เป็นเงิน 1.2 ล้าน แต่ทำสัญญาผ่อนชำระให้เพียงฉบับเดียว ในจำนวนเงิน 6 แสนบาท จำเลยเคยร้องเรียนไปยังกระทรวงมหาดไทย และประธานวุฒิสภา แต่ไม่ได้ผล ต่อมาจำเลยทราบเบอร์โทรของโจทก์จึงโทรศัพท์ไปแจ้งเรื่องราวให้ช่วยไกล่เกลี่ย และเมื่อวันที่ 21 พ.ย.45 โจทก์นัดให้จำเลยไปพบที่ร้านแห่งหนึ่งในตลาด อ.ต.ก. โดยจำเลยไปกับเพื่อนสาว ระหว่างนั่งรอโจทก์ได้โทรศัพท์ให้เดินไปที่รถยนต์บีเอ็มดับบลิวของโจทก์ และเรียกให้ขึ้นรถบอกว่าน้องชายรออยู่ โดยไม่รอเพื่อนของจำเลย จากนั้นโจทก์พาจำเลยไปยังโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง แต่ไม่พบน้องชายโจทก์ โดยเมื่อไปถึงโรงแรม โจทก์ผลักจำเลยและใช้กำลังข่มขืนจำเลยโดยสอดใส่อวัยวะเพศและสำเร็จความใคร่ภายใน 5 นาที จำเลยไม่สามารถขัดขืนได้เนื่องด้วยโจทก์ร่างกายกำยำ จากนั้นโจทก์ส่งจำเลยด้านหน้าถนนโรงแรม

อย่างไรก็ตาม หลังศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจากคำเบิกความหากจำเลยถูกข่มขืนจริง หลังจากที่โจทก์ส่งหน้าโรงแรมจำเลยน่าจะไปตรวจร่างกาย จึงเชื่อในคำเบิกความของโจทก์ว่าจำเลยสมัครใจร่วมประเวณี เพราะจำเลยตระหนักดีว่าหากไปตรวจร่างกายแล้ว จะไม่พบน้ำอสุจิในช่องคลอด เนื่องจากโจทก์เบิกความว่าสำเร็จความใคร่ด้วยออรัลเซ็กส์ อีกทั้งจำเลยอ้างว่าโจทก์รูปร่างสูงใหญ่ แต่จำเลยมีรูปร่างสันทัดเท่านั้นและอายุ 67 ปี จึงไม่น่าจะใช้กำลังข่มขืนกระทำชำเราจำเลยได้

ข้อเท็จจริงเชื่อว่าหลังจากจำเลยปฏิบัติความใคร่ให้โจทก์แล้ว จึงเอากระดาษทิชชูเช็ดและเก็บไว้ในตู้เย็น และเก็บกางเกงในไว้เป็นหลักฐาน ผนวกกับในอดีตจำเลยเคยแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลหนึ่ง ข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา โดยจำเลยเก็บขนเพชรไว้เป็นหลักฐาน แต่คดียอมความได้เนื่องจากอีกฝ่ายชดใช้ค่าเสียหาย จึงเชื่อได้ว่าจำเลยกระทำการอันเป็นการข่มขู่รีดไถ อีกทั้งพยานหลักฐานฝ่ายจำเลยไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะนำไปหักล้างพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์ได้ จึงพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง โดยพิพากษาให้ลงโทษกระทงแรก ฐานกรรโชก รีดเอาทรัพย์ จำคุก 4 ปี กระทงที่สอง ฐานแจ้งความอันเป็นเท็จ จำคุก 2 ปี และกระทงที่สาม ฐานหมิ่นประมาท จำคุก 1 ปี ซึ่งเมื่อรวมทั้งสามกระทง รวมพิพากษาจำคุก 7 ปี ส่วนค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องเรียก 50 ล้านบาท ศาลเห็นว่าเป็นค่าเสียหายที่เกินจากความเป็นจริง จึงพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายโจทก์เป็นเงิน 10 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยลงข้อความโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับ เป็นเวลา 10 วัน

-ปิดฉากคดี ฎีกาสั่งจำคุก 3 ปี สั่งชดใช้ค่าเสียหาย 1 ล้าน!!!

ชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องในข้อหารีดทรัพย์และหมิ่นประมาท แต่คงจำคุกในข้อหาแจ้งความเท็จเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา โจทก์ยื่นฎีกา ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทและรีดทรัพย์ ขณะที่จำเลยยื่นฎีกาขอให้ศาลยกฟ้องและให้รอการลงโทษ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วจึงสั่งจำคุกจำเลยฐานหมิ่นประมาทเพิ่มอีกหนึ่งกระทงเป็นเวลา 1 ปี ตาม ป.อาญา ม.328 เมื่อบวกโทษฐานแจ้งความเท็จที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 2 ปี รวมโทษจำคุกจำเลยเป็นเวลา 3 ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแค่โจทก์ 1 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันถัดฟ้องและให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาย่อขนาด 3 คูณ 5 นิ้ว ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเดลินิวส์ แนวหน้า และเดอะเนชั่น เป็นเวลา 10 วันติดต่อกัน โดยชำระค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและค่าทนายความของโจทก์ด้วย

…นี่คือบทเรียนคดีฉาวการเมืองไทยในอดีต ส่วนคดี ปริศนา ‘พิศวาสซ่อนเงื่อน’ เรื่องความรักสุดสยิว ระหว่างอดีตรองนายกรัฐมนตรีคนดัง ที่กลายเป็น ‘ชู้รัก’ กับ สาวเมียคนอื่น ในปัจจุบันจะมีฉากจบเช่นไร จะซ้ำรอยอดีตหรือไม่ อีกไม่นานคำตอบคงปรากฏ!!!