เรียกได้ว่า “เปิดหน้าชัด” กระโดดลงหลุมพรางการเมืองเต็มตัวเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่อาศัย “ราชาฤกษ์” เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ที่ผ่านมา เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ท่ามกลางอีเวนต์อลังการแบบชุดใหญ่ไฟกะพริบ ขนคนมาร่วมงานจนแน่นศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ซึ่งงานนี้ก็ถือได้ว่า “บิ๊กตู่” ส่งสัญญาณเดินหน้าสร้าง “ดาวดวงใหม่” กับพรรครวมไทยสร้างชาติ อย่างชัดเจน โดยขนาบข้างด้วย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตโฆษก กปปส.

พร้อมกันนั้น ยังมีขุนพลการเมืองทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่หลายคนเข้าร่วมแทคทีมเดินหน้าสร้าง “ดาวดวงใหม่” ร่วมกับ “บิ๊กตู่” ไล่ตั้งแต่ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต ส.ส. หลายสมัย ชุมพล กาญจนะ อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี 7 สมัย “ชัช เตาปูน” ชัชวาลล์ คงอุดม อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ก่อตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งขุนพลทั้ง 4 คน ต่างได้รับการปูนบําเหน็จ นั่งตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อย่างพร้อมเพรียงกัน

นอกจากนั้น ยังมีคนการเมืองอีกไม่น้อยที่ตบเท้าเข้าร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติ ตามรอย “บิ๊กตู่” ไม่ว่าจะเป็น “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน อดีต ผอ.พรรคพลังประชารัฐ ผู้ที่เคยบอกไว้ว่า “ลุงตู่ไปไหนผมไปนั่น” หรือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และยังมีอีกหลายคนที่มีที่ว่า พร้อมเข้าร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติหลังจากนี้ ทั้ง ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น

ซึ่งงานนี้ก็เรียกได้ว่า เป็นการ “สวมหัวใจสิงห์” เปิดหน้าสู้สำหรับ “บิ๊กตู่” หลังจากประเมินแล้วว่า ถ้าลงจากหลังเสือในนาทีนี้ คงจะเป็นเรื่องยาก จึงกลายเป็นไฟต์บังคับให้ต้องหาทางอยู่บนหลังเสือต่อ

ทั้งนี้ หากประเมินภารกิจสร้างดาวดวงใหม่ โดยอาศัยพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นฐานที่มั่น ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นกันต่อไป เพราะถึงแม้โอกาสที่พรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้ ส.ส. 25 เสียง เพื่อให้มีโอกาสเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ จะมีโอกาสเป็นไปได้ แต่โอกาสจะกวาด ส.ส. จนกลายมาเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ส่ง “บิ๊กตู่” หวนคืนบัลลังก์นายกฯ สมัยที่ 3 คงจะเป็นความฝันที่ไม่มีโอกาสเป็นความจริง

แม้ที่ผ่านมาเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ จะมีการออกมาเปิดเผยตัวเลข ส.ส. กว่า 33 คน ที่มาร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นที่เรียบร้อย และเชื่อว่าจะมี อดีต ส.ส. ตามมาเสริมทัพอีกมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เส้นทางการเมืองในอนาคตยังไม่มีอะไรที่จะคาดการณ์ได้เลย

ขณะที่ “โทนี่ วู้ดซัม” ทักษิณ ชินวัตร ก็มีการออกมาวิพากษ์วิจารณ์งานอีเวนต์เปิดตัว “บิ๊กตู่” แบบเจ็บจี๊ดว่า ยังไม่เห็นมีนโยบายอะไรเลย มีแต่จะพูดว่าประเทศไทยต้องไปต่อ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง จะพาไปไหน ประเทศไทยต้องไปต่อ แต่ต้องเปลี่ยนผู้นำด้วย ไม่งั้นมันไปไม่ได้

พร้อมยังตอกย้ำได้แบบแทงใจดำว่า “เป็นเวทีที่มีแต่ความอลังการ แต่ไม่มีสาระอะไรเลย นโยบายก็ไม่มี พวกที่ไปยืนอยู่กับท่านก็มีแต่พวก ส.ต. พวก ส.ต. ที่ว่านี่ไม่ใช่พวกสิบตรีนะ แต่หมายถึงพวกสอบตก ยืนเรียงกันเต็มเลย”

ปรับโฟกัสมาที่ความสัมพันธ์ “พี่น้อง 2 ป.” ซึ่งหลังจากแยกทางกันแล้ว ก็ทำให้อาการดราม่าลดลง จนตอนนี้ก็กลายเป็นว่า เห็นเค้าลางแผนการแยกกันเดิน รวมกันตี ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยงานนี้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังคงยืนยันว่า คุยกับ “บิ๊กตู่” ทุกวัน คุยทั้งวันตั้งแต่เช้า แต่ไม่ได้พูดคุยเรื่องการเมือง พร้อมยังย้ำว่า “ยังคบกันเหมือนเดิม ไม่มีอะไร”

ขณะเดียวกัน พรรคพลังประชารัฐ ก็เริ่มขยับเข้าสู่โหมดเตรียมการเลือกตั้งมากขึ้น ทั้งการไล่เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครทั้งลอตเล็กและลอตใหญ่ ที่มีให้เห็นถี่มากขึ้น ล่าสุดมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 4 ภาค 28 คน 19 จังหวัด พร้อมกันนั้น ยังมีการเตรียมจัดงานระดมทุนเตรียมเลือกตั้ง ในช่วงปลายเดือน ม.ค. นี้ ในรูปแบบดินเนอร์ทอล์ก เบื้องต้นเปิดให้ผู้สนับสนุนพรรค ซื้อโต๊ะในราคาโต๊ะละ 3 ล้านบาท โดยภายในงานจะมีการปาฐกพิเศษ และโชว์วิสัยทัศน์ของ “บิ๊กป้อม” เป็นไฮไลต์สำคัญของงาน ขณะที่แกนนำพรรคคนสำคัญอย่าง วิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ยังคงออกมายืนยัน ดัน “บิ๊กป้อม” เป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหาภายในของพรรคพลังประชารัฐก็ยังไม่จบ โดยเฉพาะปัญหาเลือดไหลที่ยังมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญ “กลุ่มสามมิตร” ที่เป็นหนึ่งในแกนอำนาจภายในพรรค ก็ยังไม่มีการแสดงความแน่นอน ยังไม่ตกปากรับคำว่าจะไปต่อกับพรรคพลังประชารัฐ หรือจะพอแค่นี้ ดังนั้นคงจะต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ท่าทีของ “กลุ่มสามมิตร” หลังจากนี้ จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมภายในพรรคพลังประชารัฐอีกครั้งหรือไม่

ขยับไปที่ พรรคภูมิใจไทย ก็ยังคงเนื้อหอมไม่หยุดหย่อน โดยล่าสุดมีการอ้าแขนรับ “เสี่ยบี” พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีต รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่ควงแขน 5 อดีต ส.ส.กทม. เข้าร่วมงาน ภายใต้ชื่อ “ทีมภูมิใจไทยภูมิใจกรุงเทพฯ” พร้อมด้วยลูกหลานตระกูลดังร่วมทีม เพื่อสานต่อภารกิจตีฐานที่มั่นปักธงใจกลางกรุงเทพฯ ตามความตั้งใจของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

ส่วนความเคลื่อนไหว พรรคประชาธิปัตย์ ก็มีสัญญาณที่ไม่ได้เลือกข้างใดข้างหนึ่ง ไม่ยึดติดที่จะไปร่วมกับขั้วอำนาจเก่าอย่างเดียว แต่พร้อมที่จะพลิกขั้ว รวมเสียงกับพรรคการเมืองที่ได้คะแนนสูง เพื่อจัดตั้งรัฐบาล ตามวัฒนธรรมทางการเมืองของไทย และภายใต้โจทย์ที่ไม่รังเกียจว่า จะต้องร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยก็ตามที ซึ่งก็สอดรับกับท่าทีของ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาตัดบท สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยออกมาบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ไปจับขั้วตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย หลังจากการเลือกตั้งนั้น เป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น

ด้วยแนวทางนี้ อาจจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลายมาเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญทางการเมืองหลังการเลือกตั้งที่อาจจะพลิกขั้วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของ พรรคเพื่อไทย ก็ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ผลโพล และการลงพื้นที่ฐานเสียง โดยมี “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย สวมบท “นายหญิงแม่ลูกอ่อน” ออกกวาดแต้ม ต้อนไพร่พลกระชับฐานเสียง เพื่อสานฝันถึงเป้าหมายแลนด์สไลด์ โดยเตรียมยกทัพจัดกิจกรรม “ครอบครัวเพื่อไทย : อีสานยามใด๋ เพื่อไทยทอนั่น” ที่ จ.อุดรธานี ซึ่งถือเป็น “เมืองหลวงคนเสื้อแดง” และฐานที่มั่นสำคัญในภาคอีสานของพรรคเพื่อไทย ก่อนจะมีการจัดกิจกรรมครอบครัวเพื่อไทย ไปยังภูมิภาคต่างๆ จนกว่าจะมีการยุบสภา

แม้ประเมินจากคะแนนนิยมและบริบททางการเมืองในขณะนี้ จะมองได้ว่า พรรคเพื่อไทยยังคงเป็นต่อในสังเวียนเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เกมการเมืองไม่ได้จบแค่ในหีบเลือกตั้ง แม้ก่อนหน้านี้ “โทนี่ วู้ดซัม” จะเคยออกมาคาดการณ์ว่า พรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส. ประมาณ 280 เสียง แต่นั่นยังไม่เพียงพอ! โดยล่าสุดมีการโยนโจทย์ว่า หากพรรคฝ่ายประชาธิปไตยรวมเสียงกันได้ 375 เสียง ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่อง ส.ว. อีกเลย พร้อมยกผลงานแลนด์สไลด์เมื่อครั้งพรรคไทยรักไทย ขึ้นมาเทียบว่า ขนาดตอนนั้นไทยรักไทย ได้ 377 ที่นั่ง ยังทำได้ ครั้งนี้หลายพรรครวมกัน 375 น่าจะทำได้

แต่เมื่อนับนิ้วคำนวณแต้มในมือพรรคเพื่อไทย และพรรคฝ่ายค้านในปัจจุบัน โอกาสที่จะรวมกันแล้วมี ส.ส. มากถึง 375 เสียงนั้น ต้องยอมรับว่ายากพอสมควร ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดการ “พลิกขั้วทางการเมือง” เกิดเป็น “ขั้วที่ 3” โดยอาศัยการจับมือ ระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และพรรคการเมืองอื่นๆ จึงมีความเป็นไปได้สูง อยู่ที่ว่าท้ายที่สุดแล้ว ข้อตกลงกันว่าใครจะขึ้นเป็นนายกฯ

ดังนั้นการเมืองไทยในนาทีนี้ต้องเรียกว่า ศึกเลือกตั้งยังไม่ทันจะเปิดสังเวียน อย่าเพิ่งด่วนนับศพทหาร เพราะหลังจากนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้!

ปิดท้ายกันด้วย เกมร้อนในสภาส่งท้าย “รัฐบาลเรือเหล็ก” จากการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ของฝ่ายค้าน ที่จะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 15 ก.พ. ที่จะถึงนี้ โดยมีประเด็นในญัตติกว่า 20 ประเด็น ที่ฝ่ายค้านเตรียม “จัดหนักจัดเต็ม” ถล่มรัฐบาลกลางสภา ซึ่งก็คงจะต้องรอดูกันว่า ฝ่ายค้านจะมีข้อมูลหมัดเด็ดลดความน่าเชื่อถือรัฐบาล จนสร้างแรงสั่นสะเทือนในเวทีเลือกตั้งอย่างที่ควรจะเป็นได้หรือไม่.