จากกรณี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จ กรณี ตร.191 และ DSI เรียกรับผลประโยชน์ ภายหลังมีการออกหมายจับทันที 16 คนรวด มอบตัวไปแล้ว 15 คนให้การปฏิเสธทั้งหมด ก่อนประกันตัวออกไป ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ในรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ทางช่อง 9 โดยพิธีกร “หมาแก่-แมวสาว” ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ และ อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ ได้สัมภาษณ์สด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยสรุปช่วงหนึ่งว่า เหตุเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2565 มีเจ้าหน้าที่ 191, ดีเอสไอ และ กำลังฝ่ายทหาร บุกไปจับกุมคนร้ายในบ้านพักแห่งหนึ่งในพื้นที่ย่านนางลิ่นจี่ ซึ่งสถานที่ดังกล่าวถูกอ้างว่าได้รับการรับรองจากสถานกงสุลนาอูรูประจำประเทศไทย ว่าเป็นบ้านพักของกงศุลใหญ่ แต่ความจริงคือแหล่งทำวีซ่าปลอมของชาวจีน โดยเจ้าหน้าที่พบว่ามีชาวจีนหลบหนีคดี (หมายแดง) ถึง 12 คน และมีอีก 1 คนหนีมาจากคดีผับจินหลิง เมื่อค้นบ้านพักเจอเงินสด 10 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ทั้งหมดกลับไม่ได้จับกุมชาวจีนที่หนีคดี ทั้งยังยอมปล่อยให้หลบหนีออกนอกประเทศไปได้ทั้งหมด โดยเรียกรับเอาเงินจำนวน 20 ล้านบาท

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เผยอีกว่า เรื่องนี้เริ่มต้นมาจากทาง “ดีเอสไอ” เป็นเจ้าภาพ โดยมี ตำรวจ 191 ออกหมายค้น เข้าไปยังบ้านพักที่เช่าให้คนจีนทำวีซ่าปลอมให้คนนาอูรู และชาติอื่น ๆ ซึ่งในนั้นเป็นคนจีนล้วน ๆ ซึ่งผู้ที่ประสานงานมายัง 191 เป็นระดับ ผอ.กองของดีเอสไอ โดยมีหน้าห้องของท่านอธิบดี “ดีเอสไอ” โทรศัพท์ไปยัง รองผบช.น. ก่อนจะสั่งการให้ 191 ร่วมทำงานด้วย ดังนั้นเรื่องนี้ ต้องเรียกหน้าห้องอธิบดีดีเอสไอมาสอบสวนด้วย

ขณะเดียวกันการสอบสวนยังพบว่า มีเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปในบ้านหลังดังกล่าว แล้วไปถอดเซอร์เวอร์ของคอมพ์กล้องวงจรปิดเอากลับไปบ้านเพื่อไม่ให้มีหลักฐาน ทำให้การสอบสวนมีการโยนกันไปมา แต่ทางฝ่ายสืบสวนพบว่า มีพยานคนสำคัญคือ “ล่ามชาวจีน” ที่กำลังจะหลบหนีไปยังประเทศอื่น จึงได้ควบคุมตัวมาสอบสวนก่อน จนทำให้ได้รายละเอียดทั้งหมด โดยเฉพาะประเด็นกลุ่มคนร้ายชาวจีนที่มีหมายจับ ขณะนี้เดินทางออกนอกประเทศไปทั้งหมดแล้ว ทั้งนี้ยังมีรายงานแจ้งด้วยว่า มีเจ้าหน้าที่ที่ไม่ได้ไปกับชุดจับกุม แต่มีชื่อในรายชื่อชุดจับกุม ซึ่งเป็น ร้อยตำรวจโทหญิง ซึ่งทำหน้าที่เป็นล่าม และเมื่อสอบสวนแล้วไม่เกี่ยวข้องจึงกันไว้เป็นพยานเท่านั้น ทำให้คดีนี้มี ล่ามจีน กับ ร.ต.ท.หญิง รายนี้ซึ่งจะเป็นพยานสำคัญเท่านั้น โดยฝ่ายล่ามจีน ระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐพาตนนั่งรถดีเอสไอ ไปรับเงินจากฝ่ายชาวจีนด้วย

“…คำถามที่ว่า จะมีเจ้าหน้าที่รัฐระดับบิ๊ก มาเกี่ยวข้องด้วยไหม รายการนี้ไม่มีใครตายเดี่ยว วันนี้ผมจะลงไปดูเพิ่มเติมและจะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มด้วย เช่น ดูว่ามียักยอกทรัพย์มีหรือไม่ ส่วนข้อหาพื้นฐานอย่าง ป.อาญา 157, 149 และ 184 ได้แจ้งข้อหาดังกล่าวไปหมดแล้ว หลังจากนี้ต้องสอบสวนหน้าห้องของอธิบดีดีเอสไอก่อน อย่างไรก็ตาม ชุดทำงานชุดนี้ เป็นชุดที่ขึ้นตรงกับ อธิบดีดีเอสไอ ซึ่งตำแหน่งระดับ ผอ.กอง ก็ต้องไปไล่ดูว่าใครสั่งการ เคสนี้เชื่อได้ว่า ไม่มีใครตายเดี่ยว เพราะโทษหนัก ถึงจำคุกตลอดชีวิต และที่น่าแปลกใจก็คือ หนังสือขออนุมัติทำภารกิจ กลับไม่มีเลขหนังสือ ซึ่งตรงนี้ ต้องไปดูว่า กระทำโดยมีอำนาจหรือไม่…” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้มีรายงานว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เตรียมเสนอเอาผิดกราวรูด ตม. อีกกว่า 90 นาย ในความผิดตาม ม.157 มียศตั้งแต่ พล.ต.ต.-ประทวน หลังพบว่าเอื้อประโยชน์เครือข่ายจีนเทาด้วย.

ขอบคุณรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ทางช่อง 9