นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ในปีนี้ กรมสรรพากรมีนโยบายที่จะดึงธุรกิจ หรือบุคคลที่เคยอยู่นอกระบบภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีมากขึ้น หลังจากปีที่แล้วกรมสรรพากร สามารถดึงคนนอกระบบเข้าสู่ระบบมากถึง 2 แสนราย โดยกรมฯ ได้มีการตั้งกองสำรวจธุรกิจนอกระบบ เพื่อทำหน้าที่ดึงคนเข้าระบบภาษี ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมาย เช่น พ่อค้าแม่ค้าขายของออนไลน์ หรือยูทูบเบอร์ อินฟูลเอนเซอร์ต่างๆ ที่มีรายได้จากธุรกิจออนไลน์เข้ามาอยู่ในระบบภาษี เพื่อขยายฐานผู้เสียภาษีให้มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งหากมีรายได้ถึงกำหนด ก็มีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้
นอกจากนี้ กรมฯ ยังมีนโยบายที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกในการเก็บภาษี เพื่อสนับสนุนให้คนเข้ามาในระบบได้ง่ายขึ้น เพราะที่ผ่านมาสาเหตุส่วนหนึ่งที่คนไม่เข้ามาในระบบ เพราะไม่เข้าใจ และกังวลเรื่องความยากในการยื่นตรงๆ ดังนั้นกรมฯ จะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในส่วนนี้ให้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากรจะช่วยประคับประคองธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด เช่น ธุรกิจร้านอาหาร, โรงแรม ธุรกิจบริการ ที่เพิ่งฟื้นตัว ให้สามารถยืนได้อย่างเข้มแข็ง โดยไม่ให้มีภาษีจนเป็นภาระต้องการทำธุรกิจมากจนเกินไป ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันสถานการณ์โควิดจะได้คลี่คลาย หลังจากที่เกิดการระบาดอย่างหนักในช่วงปี 63-64 แต่ก็ยังมีบางธุรกิจที่ยังคงได้รับผลกระทบหรือเพิ่งฟื้นตัว โดยแผนการประคับประคองดังกล่าว จะเป็นแผนแบบปีต่อปี
สำหรับผลการจัดเก็บงบในปีงบประมาณ 66 กรมคาดว่าจะจัดเก็บได้ตามเป้าหมายโดย 4 เดือนแรกของปีงบประมาณเดือน ต.ค. 65-ม.ค. 66 สามารถจัดเก็บรายได้ได้เกินกว่าเป้าหมายมาประมาณ 6 หมื่นล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภาพรวม โดยภาษีที่เพิ่มขึ้นมาจากรายได้ภาษีนิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งได้จากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ การใช้จ่ายของคนในประเทศ และนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ไม่ใช่จากการเก็บภาษีนำเข้าราคาพลังงานที่มีราคาสูง