ยาเซมน์ แคพเทน สาววัย 46 ปีจากทอตแนม ลอนดอนเหนือ กล่าวอ้างว่าเธออดอาหารเป็นประจำมาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว เพื่อให้มีเงินเหลือพอที่จะเลี้ยงแมวทั้ง 6 ตัวของเธอ 

เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและวิกฤตค่าครองชีพในอังกฤษ ทำให้ตอนนี้ แคพเทน ไม่สามารถหาเลี้ยงตัวเองและสัตว์เลี้ยงของเธอได้อย่างเพียงพอ เธอยังป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน ซึ่งทำให้เธอทำงานไม่ได้ โดยได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 400 ปอนด์ (ราว 16,600 บาท) จากรัฐบาล แต่นั่นก็เพียงพอแค่จ่ายค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคที่จำเป็น

เนื่องจากเธอเป็นผู้ดูแลคู่ชีวิตซึ่งเป็นผู้ป่วยเช่นกัน จึงได้เงินช่วยเหลือสัปดาห์ละ 69 ปอนด์ (ราว 2,862 บาท) ซึ่งในจำนวนนี้ เธอนำไปใช้จ่ายเพื่อแมวของเธอราว 60 ปอนด์หรือประมาณ 2,500 บาท 

แคพเทน อ้างว่าเธอใช้วิธีดื่มชามินต์เพื่อประทังหิว น้ำหนักตัวของเธอลดลงไปมากกว่า 30 กก. นับตั้งแต่เธออดอาหาร เนื่องจากเธอไม่มีเงินเหลือให้ตัวเอง และไม่สามารถตัดใจนำแมวไปปล่อยทิ้งได้ เพราะเธอเลี้ยงพวกมันมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ตลอดเวลา 17 ปีที่ผ่านมา และตอนนี้พวกมันก็อยู่ในช่วงวัยชราแล้ว เธอจึงรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมที่จะปล่อยพวกมันไปตามยถากรรม

แมวทั้ง 6 ตัวของ แคพเทน

นอกจากนี้ แคพเทน ยังยอมรับว่า การที่เธอไม่ยอมกำจัดแมวออกไปเพราะเธอไม่รู้ว่าตัวเองและ เอิร์ดนิค ฮัสเซน คู่ชีวิตวัย 46 ปีของเธอซึ่งป่วยเป็นโรคปลอกประสาทอักเสบ จะทำใจได้หรือไม่ว่าจะต้องอยู่โดยไม่มีพวกมัน 

แคพเทน ได้แมวเหล่านี้มาเลี้ยงตอนที่เธอยังทำงานเป็นผู้ช่วยชอปปิ้งส่วนตัวและมีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองกับแมวทั้ง 6 ตัว แต่แล้วในปี 2565 เธอก็ต้องออกจากงาน หลังจากที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน และเธอมีเงินเหลือติดตัวน้อยมาก

ตอนนี้ แคพเทน อ้างว่าเธอได้กินอาหารเพียงสัปดาห์ละครั้ง เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบาร์บีคิวผัก เช่น พริกหวาน หัวหอม และสลัดผัก ในมื้ออื่น ๆ เธอจะดื่มน้ำชาแทน คู่ชีวิตของเธอเป็นห่วงเธอมาก แต่เธอก็ชินกับชีวิตแบบนี้แล้วและหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นในอนาคต 

เรื่องราวของ แคพเทน เป็นเรื่องของหนึ่งในบรรดาผู้ที่ตกที่นั่งลำบากในอังกฤษเนื่องจากปัญหาวิกฤตค่าครองชีพที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งราคาอาหารและพลังงาน 

จากการสำรวจขององค์การมาตรฐานอาหารของอังกฤษเมื่อเดือนมี.ค. ปีที่แล้วพบว่า ประชากรอังกฤษ 1 ใน 5 คนยอมรับว่าต้องอดอาหาร หรือลดปริมาณอาหารต่อมื้อให้น้อยลงเพราะไม่มีเงินมากพอที่จะซื้ออาหาร

แหล่งข่าวและเครดิตภาพ : dailymail.co.uk