ใกล้เข้าสู่ช่วงวันขึ้นปีใหม่ไทย อย่าง “เทศกาลสงกรานต์” เช่นนี้ เชื่อว่าหลายๆ คน คงจะได้มีโอกาสเดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อไปเฉลิมฉลอง และใช้เวลาในช่วงหยุดยาว ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว ซึ่งหลายๆ คน ก็คงจะเลือกเดินทางโดยการใช้รถยนต์ส่วนตัว หรือการเลือกเดินทางผ่านขนส่งสาธารณะ

แต่ไม่ว่าจะเลือกเดินทางแบบไหน หรือเฉลิมฉลองแบบใดก็ตาม หากเราย้อนไปดูข้อมูลจาก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (ศปถ.) ช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2565 สรุปภาพรวมสถิติอุบัติเหตุ ตั้งแต่วันที่ 11-17 เม.ย. เกิดอุบัติเหตุรวม 1,917 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 1,869 คน ผู้เสียชีวิต 278 ราย

แต่เคยทราบกันบ้างหรือไม่ว่า ประเทศไทยเรามีนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิทุกที่ (UCEP) เจ็บป่วย “ฉุกเฉินวิกฤติ” มีสิทธิทุกที่ “โดยไม่ต้องสำรองจ่าย”

UCEP คืออะไร?
สิทธิ UCEP (Universal Coverage for Emergency Patients) คือ สิทธิการรักษาตามนโยบายรัฐ เพื่อคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ ให้สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ใกล้ที่สุดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจนพ้นวิกฤติและสามารถคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่เกิน 72 ชั่วโมง

6 อาการที่เข้าข่าย ภาวะฉุกเฉินวิกฤติ
1. หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ
2. หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หายใจติดขัดมีเสียงดัง
3. ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น
4. เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง
5. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัดแบบปัจจุบันทันด่วน หรือชักต่อเนื่องไม่หยุด
6. อาการอื่นที่มีผลต่อการหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิต และระบบสมองที่เป็นอันตรายต่อชีวิต หากพบอาการที่เข้าข่าย
เน้นย้ำว่า เจ็บป่วยฉุกเฉิน โทร.1669 เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิทุกที่ โดยไม่ต้องสำรองจ่าย

ขั้นตอนการใช้สิทธิ UCEP
– ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติเข้าโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
– โรงพยาบาลประเมินอาการและคัดแยกระดับความฉุกเฉิน
– ศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล
– กรณีเข้าเกณฑ์ฉุกเฉินวิกฤติ จะได้รับความคุ้มครองตามสิทธิ UCEP ทันที แต่ไม่เกิน 72 ชั่วโมง
– กรณีไม่เข้าเกณฑ์ฉุกเฉินวิกฤติ ให้รีบประสานโรงพยาบาลตามสิทธิหากประสงค์รักษาต่อต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง
ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หรือตามกฎหมายว่าด้วยประกันชีวิต ให้ใช้สิทธิดังกล่าวก่อน..

ขอบคุณข้อมูลจาก @สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ