เมื่อวันที่ 24 เม.ย. นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีสำนักโพลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการเลือกตั้ง ซึ่งมีบางสำนักปรากฏข้อมูลในการเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนน่าจะไม่สอดรับกับความเป็นจริงว่า ตนในฐานะนักกฎหมาย มีความเป็นห่วงว่า สำนักโพลเหล่านั้นอาจจะมีปัญหาข้อกฎหมาย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 มาตรา 72 การสํารวจความคิดเห็นของประชาชนโดยมีเจตนาไม่สุจริต มีลักษณะเป็นการชี้นํา หรือมีผลต่อการตัดสินใจในการลงคะแนนเลือกหรือลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด จะกระทํามิได้และเข้าข่ายฝ่าฝืน มาตรา 73 ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น ให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนน ไม่เลือกผู้ใดเป็น ส.ส. ด้วยวิธีการ หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง

ทั้งนี้ ตามมาตรา 72 และมาตรา 73(5) กฎหมายห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งรวมถึงสำนักโพลต่างๆ กระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง

นายไพบูลย์ กล่าวต่อไปว่า ดังนั้นหากสำนักโพลใดฝ่าฝืน พ.ร.ป.ด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 มาตรา 73 (5) จะมีบทลงโทษตามมาตรา 159 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ หนึ่งปี ถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของผู้นั้นมีกําหนดยี่สิบปี

“ผมจึงแจ้งข้อห่วงใยมายังสำนักโพลต่างๆ ให้ระมัดระวังข้อกฎหมายในเรื่องดังกล่าวข้างต้น เพราะเชื่อว่าจะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปยื่นคำร้องขอให้ กกต. ตรวจสอบสำนักโพลดังกล่าว สามารถยื่นคำร้องได้จนถึง 30 วันหลังจากวันเลือกตั้ง อาจจะทำให้สำนักโพลบางสำนักอาจมีปัญหาทางกฎหมายได้” นายไพบูลย์ กล่าว