เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 25 เม.ย. ที่ จ.ภูเก็ต นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วยนายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรค นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธาน ส.ส.พรรค นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ​ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย นายวัชรพงษ์ อนันตกูล ​​ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต เขต 1​ เบอร์ 7 นายอาวุธ หนูเชต ​​​ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต เขต 2​ เบอร์ 1 และนายสรธรรม จินดา ​​​ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต เขต 3​ เบอร์ 6 เดินพบปะพี่น้องประชาชน และผู้ค้าย่านถนนคนเดินเมืองเก่า

โดยช่วงหนึ่งนายเศรษฐา ได้แวะชมรูปแบบการวางผังเมืองของเมืองถลาง และการพัฒนาเมือง ที่ร้านบ้าน 92 ซึ่งเจ้าของร้านได้บอกเล่าถึงความสำคัญของจุดนี้ว่า พื้นที่บริเวณนี้คือโครงการที่รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้งบประมาณต่อเนื่องเพื่อมาพัฒนา ซึ่งพวกเรานำมาต่อยอดเป็นถนนคนเดิน และอยู่ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 10 ปีแล้ว ต่อมาถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ จ.ภูเก็ต เราได้งบประมาณจากโครงการ SML ก็นำมาพัฒนาต่อเนื่องอีกถึง 10 ปี เป็นการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ และ จ.ภูเก็ต จำนวนมาก

จากนั้นได้เดินมาแวะชิมโอ้เอ๋ว ขนมหวานขึ้นชื่อของเมืองภูเก็ต ร้านทอรี่ไอศกรีม ซึ่งนายเศรษฐาระบุว่า เป็นของโปรดที่มาทานเป็นประจำ ทั้งนี้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนตลอดจนถึงนักท่องเที่ยวขอถ่ายภาพคู่กับนายเศรษฐาจำนวนมาก โดยนายเศรษฐา ได้ฝากให้พี่น้องชาวภูเก็ตช่วยเลือกพรรค พท. ทั้ง 2 ใบด้วย

ทางด้าน นายณัฐวุฒิ ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ต้องแลนด์สไลด์ ถ้าเปลี่ยนรัฐบาลไม่ได้ ก็ไม่มีหวังเรื่องการเปลี่ยนแปลงใดๆ การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นจุดตัดสำคัญในประวัติศาสตร์ ว่ารัฐบาลสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ และพวก จะไปต่อหรือจะเกิดรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตยเข้ามาแก้ปัญหาให้กับประชาชน พรรคเพื่อไทยเสนอเป้าหมายแลนด์สไลด์ เพราะเชื่อว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เกิดรัฐบาลประชาธิปไตยขึ้นมาจริงได้ ถ้าไม่มีพรรคไหนในฝ่ายประชาธิปไตยชนะเด็ดขาด พล.อ.ประยุทธ์ กับพวกจะรวม ส.ส. มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ บวกกับ 250 ส.ว. ตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นมาก่อนแน่นอน หลังจากนั้นใช้ความเป็นนายกฯ บวกกับผลประโยชน์ประเภท “กล้วย” และ “เก้าอี้รัฐมนตรี” พยายามที่จะดึง ส.ส. จากพรรคอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติม แผนการไม่ซับซ้อน เห็นกันชัดๆ แต่เขาก็จะทำแบบนี้ 

ดังนั้น เป้าหมายแลนด์สไลด์เกินครึ่ง จึงหมายถึงชัยชนะเหนือกติกาขี้โกง ถ้าเพื่อไทยเกินครึ่ง จะเกิดรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตย และเชื่อว่า ส.ว. จำนวนหนึ่งใน 250 คน ไม่กล้ายกมือสวนเจตนารมณ์ของประชาชน ถ้าต้องเป็นฝ่ายค้าน พรรค พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร แตกแน่ ๆ สองคนคงจูงมือกันกลับบ้าน ส่วนจะมีคดีความอะไรตามไปให้รับผิดชอบหรือเปล่า โปรดติดตาม ขั้วพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันคงพยายามจะวิ่งเต้นเข้าร่วมรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งเพื่อไทยเขาประกาศชัดว่า พลังประชารัฐ, รวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นพรรคที่มีส่วนร่วมในการก่อรัฐประหารโดยตรง ไม่มีในแผนการทำทีม ไม่มีความคิดจะเอามาร่วมรัฐบาล 

นายณัฐวุฒิ ระบุต่อว่า แม้เวลานี้จะมีหลายพรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง “ประชาธิปัตย์” หรือ “ภูมิใจไทย” แม้กระทั่ง “พลังประชารัฐ” ประกาศว่าจะสนับสนุนให้พรรคการเมืองอันดับ 1 ตั้งรัฐบาลก่อน ใครจะเชื่อก็เชื่อ ผมไม่เชื่อ เพราะการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคเหล่านี้ คนเหล่านี้ ที่ประกาศว่าจะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนากรัฐมนตรี แต่ถึงที่สุดก็เป็นรัฐบาลกันจนเกือบครบ 4 ปี 

“ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยไม่ตัดสินใจเลือกไปในทางเดียวกัน ต่างคนต่างแบ่งคะแนนแยกย้ายกันไป เพราะเชื่อว่าถึงที่สุดก็จะรวมกันเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนตั้งรัฐบาลได้อยู่ดี มันจะไม่เป็นอย่างนั้นครับ ถ้าเลือกกระจัดกระจายมันจะพากันแพ้ตั้งแต่ในเขตเลือกตั้ง ไม่สามารถเดินเข้าสู่สภาได้ คะแนนของฝ่ายอนุรักษนิยมในแต่ละพื้นที่ก็ยังคงเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น อาจจะไม่มากกว่าฝ่ายประชาธิปไตย แต่ถ้าคะแนนฝ่ายประชาธิปไตยแบ่งแยก เป็นโอกาสของฝ่ายอนุรักษนิยมที่จะสอดแทรกเข้ามาเป็นที่หนึ่งในเขตเลือกตั้งได้” นายณัฐวุฒิ ระบุ