เมื่อวันที่ 5 พ.ค. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1, พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. พ.ต.อ.พิเชียรยศ อรุณพันธกุล ผกก.1 บก.สอท.3 ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาคอลเซ็นเตอร์ อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่พัสดุตุ๋นเหยื่อโอนเงินสูญ 42 ล้าน

สืบเนื่องมาจากได้มีผู้เสียหายเป็นนักธุรกิจถูกแก้งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงว่าเป็นพนักงานบริษัทขนส่ง FedEx มีพัสดุผิดกฎหมายส่งจากต่างประเทศติดที่กรมศุลกากร ได้ระบุชื่อที่พัสดุเป็นชื่อนามสกุลผู้เสียหาย มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐานฟอกเงิน จึงหลงเชื่อโอนเงินไปจำนวนกว่า 42 ล้านบาท ภายหลังทราบว่าถูกหลอกลวงจึงได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ผ่านระบบการรับแจ้งความออนไลน์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจบก.สอท1 จึงรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบเส้นทางการเงิน หาความเชื่อมโยงทางคดี กระทั่งขอศาลอาญาออกหมายจับนายสุรเกียรติ อายุ 29 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2299/2565 ลงวันที่ 28 ตุลาคม ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นช่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน” และสามารถติดตามจับกุมได้ ที่ตำบลศาลากลาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี

พล.ต.ท.วรวัฒน์ เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าหางานผ่านเฟซบุ๊กพบว่ามีรับสมัครงานเป็นแอดมินเว็บพนัน จึงได้ติดต่อขอทำงานไป และได้เดินทางไปทำงานที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา เมื่อไปถึงพบว่าเป็นอ๊อฟฟิตแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยเฉพาะ มีนายทุนเป็นคนจีน ในช่วง 5 เดือนที่ไปทำงาน ส่วนใหญ่ 90% ของผู้ที่โทรไปหาจะรู้ว่าตัวเองโดนหลอกแต่อีก 10% ส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าตัวเองโดนหลอกและตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ซึ่งตลอดระยะเวลาการทำงานผู้เสียหายรายนี้ ถือว่าเป็นผู้เสียหายที่สามารถหลอกได้มูลค่าสูงสุดคือ 42 ล้านบาท ซึ่งหลังจากทำงานได้ตามระยะเวลาที่กำหนดก็เก็บรวบรวมเงินไถ่ตัวเองและใช้หนี้ค่าเดินทางหลบหนีออกจากประเทศไทยทางพรมแดนธรรมชาติทั้งขาไปและขากลับ ซึ่งในช่วงแรกแก๊งดังกล่าวอ้างว่าจะได้เงินประมาณ 100,000 บาท แต่หลังจากหักลบตบหนี้เหลือเงินกลับมาเพียงแค่ 20,000-50,000 บาทเท่านั้น ส่วนบ้านที่ตำรวจเข้าไปจับกุมซึ่งเห็นว่าเป็นบ้านที่ค่อนข้างหรูหราขนาดใหญ่จากการตรวจสอบพบว่าเป็นบ้านของญาติผู้ต้องหาไม่ได้เป็นเงินจากการหลอกลวงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งนี้จากการสอบถามผู้ต้องหายืนยันว่าจะไม่กลับไปทำงานดังกล่าวอีกเนื่องจากชีวิตความเป็นอยู่ที่ต่างประเทศค่อนข้างยากลำบากถูกบังคับกักขังให้ทำงานเกือบตลอดทั้งวัน

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าแก๊งที่ผู้ต้องหารายนี้ไปทำงานเคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานกับทางประเทศกัมพูชาเข้าไปทลายเครือข่ายดังกล่าวมาแล้ว 1 ครั้งเมื่อสมัย พล.ต.ต.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ยังดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ยังคงมีเครือข่ายบางส่วนที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ ทั้งนี้ ผู้ต้องหารายนี้ถือว่าเป็นหนึ่งใน 50 หมายจากของแก๊งเครือข่ายดังกล่าวซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างการขยายผลเพิ่มเติมต่อไป

ทั้งนี้ ยังฝากเตือนไปถึงเหล่าผู้ที่เปิดบัญชีม้าหรือบัญชีผีต่างๆ ทาง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมเปิดปฏิบัติการใหญ่เพื่อปราบปรามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับที่เปิดบัญชีม้าและบัญชีผีต่างๆ หลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.นี้ หากผู้ใดที่ไปเปิดบัญชีม้าหรือบัญชีผีต่างๆ หากคิดจะไปปิดบัญชีก็สามารถทำได้หากเป็นการถูกหลอกลวงโดยไม่ได้ตั้งใจ และเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ แต่หากบัญชีดังกล่าวถูกออกหมายจับแล้วก็ไม่สามารถที่จะหลบเลี่ยงได้ต้องไปชี้แจงในชั้นสอบสวนหรือชั้นศาล.