เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ บริเวณหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ สะพานลอยหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ถนนราชดำริ แขวงและเขตปทุมวัน กทม. คณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 (คปช.53) นำโดย นพ.เหวง โตจิราการ, ผศ.ธิดา ถาวรเศรษฐ, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จัดงาน รำลึก “13 ปี เมษาพฤษภา 53” โดยบรรยากาศภายในงานมี ปชช. รวมถึงญาติผู้เสียชีวิต เข้ารวมงานด้วย โดยกิจกรรมจะเริ่มจากพิธีสงฆ์ ต่อมาจะกล่าวรำลึก 13 ปี เมษาพฤษภา 53 และวางดอกไม้-จุดเทียน รำลึก

โดยบรรยากาศตั้งแต่เวลา 16.00 น. มีประชาชนหลั่งไหลมาร่วมรำลึก 13 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุม 19 พฤษภา 2553 มีการตั้งเวทีโดยใช้รถโมบาย พร้อมจัดเก้าอี้ให้กับผู้มาร่วมงาน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลความเรียบร้อย โดยก่อนเริ่มกิจกรรม ผศ.ธิดา ถาวรเศรษฐ เลขาธิการกรรมการคณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 และนายแพทย์เหวง โตจิราการ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ก่อนเริ่มต้นกิจกรรมรำลึก 13 ปี เมษา-พฤษภา 53 ที่แยกราชประสงค์

ผศ.ธิดา ระบุว่า กิจกรรมวันนี้ เป็นการทำพิธีสงฆ์เพื่อรำลึกถึงผู้ที่สูญเสียจากเหตุการณ์เมื่อ 13 ปีก่อน และต่อมาจะมีการปราศรัยของญาติผู้สูญเสีย จากนั้นเป็นการวางดอกไม้ พร้อมกับประชาชน ซึ่งไม่ได้จัดมากว่า 10 ปีแล้ว ครั้งนี้เข้าสู่รัฐบาลใหม่ มีการเลือกตั้ง เราก็จะขอทวงคืนความยุติธรรม เพื่อสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ครั้งนี้ฝั่งประชาธิปไตยชนะเลือกตั้ง และคาดว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แม้จะถูกขัดขวางจาก ส.ว. หรืออะไรก็ตาม ประชาชนจะได้เตรียมพร้อมขยับการทวงความยุติธรรม พร้อมสนับสนุนให้รัฐบาลได้ทำงาน ให้สมกับที่ประชาชนคาดหวัง

ผศ.ธิดา กล่าวอีกว่า ตอนนี้เป็นช่วงเลือกตั้งใหม่ ความคาดหวังของประชาชนก็สูง โดยการเลือกตั้ง เป็นการต่อสู้ที่สันติวิธีที่สุดแล้ว และผลชัดเจนแล้วว่า คนกว่า 25 ล้านเสียง สนับสนุนรัฐบาลฝั่งประชาธิปไตย ดังนั้นจึงมีความชอบธรรม และชอบด้วยกฎหมายในการจัดตั้งรัฐบาล

“…การรำลึกครั้งนี้ แม้ไม่ได้ประชาสัมพันธ์มาก แต่นับเป็นจุดเริ่มต้น และเชื่อว่าครั้งต่อ ๆ ไป ประชาชนจะรู้เอง รัฐบาลนี้มาจากการเลือกตั้ง บรรยากาศทางการเมืองก็เปิดมากขึ้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาสกัดข้อเรียกร้องของประชาชน ที่มีข้อเรียกร้องคือการทวงคืนความยุติธรรม จึงอยากให้พี่น้องมีกำลังใจ หลังจากที่ถูกกดทับมากว่า 10 ปี…” ผศ.ธิดา กล่าว

ด้าน นายแพทย์เหวง ระบุว่า สถานการณ์เลือกตั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ยิ่ง ส.ว. ออกมาขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในด้านบวก ทำให้ประชาชนทั้งประเทศเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 60 มีเผด็จการ และยาพิษซ่อนอยู่ เป็นประชามติกำมะลอ ใครที่บอกว่ามีเสียงเลือกตั้งไม่ถึงครึ่ง ให้กลับไปเรียนชั้นประถมใหม่ เพราะหากรวมคะแนนของพรรคการเมือง 8 พรรค มีคะแนนเสียงกว่า 27 ล้านขึ้นไปนั้น ถ้าเทียบกับจำนวนคนที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วมากกว่า 60% นับเป็นเสียงข้างมาก และมากกว่าสัดส่วนของประชาชนที่โหวตรับร่างรัฐธรรมนูญ 60 ด้วย

ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. เปิดเผยว่า การกลับมาจัดงานรำลึกครบรอบ 13 ปี ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ เมษา- พฤษภา 53 เป็นการจัดงานในรอบ 10 ปีว่า ถือเป็นวาระที่ประชาชนได้รับชัยชนะร่วมกันจากการเลือกตั้ง และต้องการที่จะประกาศเรียกร้องความยุติธรรมให้กับการสูญเสียของคนเสื้อแดง ซึ่งก็พบว่าปรากฏอยู่ในนโยบายของหลาย ๆ พรรคจากฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งต้องการให้คดีของผู้เสียชีวิตเข้าสู่ชั้นศาลและพิจารณาตามกระบวนการยุติธรรม หากศาลพิพากษาถึงที่สุดเป็นเช่นไร ก็พร้อมจะน้อมรับ เพราะ 13 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสิ่งเหล่านี้ คนเสียชีวิตเป็น 100 คน แต่คดีไม่ถึงศาล เป็นการสะท้อนความไม่ปกติในสังคมไทย ดังนั้น จึงฝากความหวังไว้กับการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ในการจัดตั้งรัฐบาล

ส่วนการเรียกร้องความยุติธรรม จะเดินหน้าได้มากน้อยแค่ไหนนั้น มองว่า จากร่างแก้ไข พ.ร.ป.ป.ป.ช. ซึ่งตนเองได้เตรียมการเอาไว้ พร้อมกับประสานงานกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย 30 คน น่าจะคืบหน้าไปได้ด้วยดี เพราะสอดคล้องกับนโยบายพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล และหากเป็นไปได้จริง 6 เดือนแรกในการปฏิบัติหน้าที่ของสภาและรัฐบาลชุดนี้ กฎหมายดังกล่าวก็น่าจะมีผลบังคับใช้ และทำให้ผู้เสียหาย ซึ่งหมายถึงญาติและทายาทของผู้เสียชีวิต สามารถที่จะยื่นฟ้องร้องผู้ต้องหาโดยตรงต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ทันที และการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ จะเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้กับประชาชนที่กำลังยืนหยัดต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งส่วนตัว นอกจากความสวยงามของประชาธิปไตยที่จะมีรัฐบาลชุดใหม่ โดยมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำเนื่องจากเป็นพรรคอันดับ 1 นั้น

“…ผมยังมองเห็นเงาของความขัดแย้ง มองเห็นเค้าลางของวิกฤติปรากฏอยู่รำไร แล้วก็เป็นเรื่องน่าห่วงใย เพราะสถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลในคราวนี้ แม้ว่าทุกคนเอาใจช่วย แต่อีกมุมหนึ่งก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และหากจะมีใคร อำนาจใดก็ตาม คิดจะใช้วิธีการนอกระบบ สกัดขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาล หรือใช้กำลังกับประชาชนผู้ออกมาสนับสนุนรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย ก็จะมีกฎหมายฉบับนี้ เป็นหลักประกันว่า ผู้สั่งการและผู้ปฏิบัติ ไม่สามารถลอยนวลพ้นผิดได้ เหมือนหลาย 10 ปีที่ผ่านมา…” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นักข่าวถามว่า กังวลหรือไม่ เหตุการณ์ความวุ่นวายอาจจะเกิดขึ้นในการจัดตั้งรัฐบาล มองว่า ถ้าทุกคนเคารพและยอมรับในการตัดสินใจของประชาชน ก็จะไม่มีข้อกังวล แต่การเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ ตนเองก็ขอเอาใจช่วยให้มีรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็ว และขอฝากกำลังใจให้ผู้เกี่ยวข้องทุกคน ขอให้เดินด้วยความรัดกุมรอบคอบ และประเมินสถานการณ์ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะกับดักต่าง ๆ อาจจะรออยู่ในสถานการณ์ที่ฝ่ายอำนาจยังอยู่ ก็ไม่สามารถไว้วางใจอะไรได้เลย.