เมื่อวันที่ 30 พ.ค. เวลา 16.15 น. ที่พรรคประชาชาติ (ปช.) ภายหลังการประชุมร่วมระหว่าง 8 พรรคการเมืองที่ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วม (MOU) จัดตั้งรัฐบาล ได้แก่ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคเป็นธรรม และพรรคพลังสังคมใหม่ ภายหลังหารือประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที แกนนำ 8 พรรคร่วมรัฐบาลได้ออกมาแถลงข่าว

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า วันนี้เป็นการแถลงข่าวร่วมกันระหว่างหัวหน้าพรรคจัดตั้งรัฐบาลทั้ง 8 พรรค โดยมีข้อสรุปของการประชุมดังต่อไปนี้ 1.หัวหน้าพรรคทั้ง 8 พรรค ได้ร่วมกันมีมติในการจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานในช่วงเปลี่ยนผ่าน ประกอบด้วยบุคลากรดังต่อไปนี้ นายพิธา เป็นประธาน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ตัวแทนพรรคก้าวไกล เป็นกรรมการ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล ตัวแทนพรรคเพื่อไทย เป็นกรรมการ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ตัวแทนพรรคประชาชาติ เป็นกรรมการ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ตัวแทนพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) เป็นกรรมการ นายวิรัตน์ วรศสิริน ตัวแทนพรรคเสรีรวมไทย เป็นกรรมการ นายกรรณวีร์ สืบแสง ตัวแทนพรรคเป็นธรรม เป็นกรรมการ นายวสวรรธ์ พวงพรศรี ตัวแทนพรรคเพื่อไทรวมพลัง เป็นกรรมการ และนายเชาวลิต ขจรพงศ์กีรติ ตัวแทนพรรคพลังสังคมใหม่ เป็นกรรมการ

นายพิธา กล่าวอีกว่า สำหรับคณะกรรมการประสานงานฯ จะนัดประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 6 มิ.ย. 66 ที่พรรคเพื่อไทย โดยในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ คณะกรรมการประสานงานฯ จะตั้งคณะทำงานขึ้นมา 7 คณะ จากทั้งหมด 23 คณะ เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงร่วม (MOU) เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยคณะทำงานทั้ง 7 คณะเบื้องต้น เพื่อตอบสนองแก้ไขปัญหาของประชาชนในช่วงนี้ ได้แก่ 1.คณะทำงานค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันดีเซล และพลังงาน 2.คณะทำงานภัยแล้ง และเอลนีโญ 3.ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ 4.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 5.ปัญหาสิ่งแวดล้อม และ PM 2.5 6.เรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง และ SME 7.เรื่องการแก้ไขปัญหายาเสพติด

โดยคณะทำงานทั้ง 7 คณะข้างต้น จะประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญของแต่ละพรรคเข้ามาเป็นคณะทำงาน เพื่อหารือและแก้ไขปัญหาต่างๆ หลังจากนั้นจะมีการแจ้งแก่คณะกรรมการประสานงานฯต่อไป

หลังจากนั้น นายพิธา ตอบคำถามสื่อมวลชนว่า การตั้งคณะกรรมการประสานงานฯ และคณะทำงานข้างต้น เป็นทางออกของทุกพรรคในการแก้ไขปัญหาของประเทศ เพื่อกลั่นกรองเป็นนโยบายร่วมกันในการแถลงต่อรัฐสภา และนำไปปฏิบัติในฐานะฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติต่อไป ยืนยันว่าการทำงานเป็นไปด้วยดี เราจะสามัคคีกัน เพื่อที่จะตั้งใจทำงาน ในการแก้ไขปัญหาของประชาชนให้มากสุดเท่าที่เป็นไปได้

ส่วนการจัดสรรตำแหน่งคณะรัฐมนตรีนั้น นายพิธา กล่าวว่า การจัดสรรตำแหน่งฝ่ายบริหาร จะเกิดขึ้นหลังทำงานร่วมกัน โดยยึดการทำงานเพื่อประชาชนเป็นตัวตั้ง ส่วนตำแหน่งประธานสภาฯ ก้าวไกล และเพื่อไทย จะพิจารณาร่วมกัน เรื่องนี้ไม่เป็นอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาล พวกเราพูดคุยในจุดประสงค์เดียวกันว่า สิ่งสำคัญคือการเตรียมพร้อมบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อประชาชน ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีการประกาศผลคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการแล้ว เหลือเพียงรับรอง ส.ส.อย่างเป็นทางการ เมื่อสามารถเปิดประชุมสภาฯ ได้ หวังว่า กกต.จะใช้เวลาไม่นาน ในการรับรอง ส.ส.ทำให้ความสามารถในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เกิดขึ้นได้โดยเร็ว ทำให้พวกเราบริหาร ผลักดันวาระต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนชาวไทยต่อไป

นายพิธา กล่าวอีกว่า กำหนดวาระว่า คณะทำงาน 7 คณะ ตั้งตาม MOU 23 ข้อ เราสามารถหาจุดวาระร่วมของพวกเรา 8 พรรคได้แล้ว ตาม MOU ดังนั้น คณะกรรมการประสานงานฯ จะดูตาม MOU จำนวน 23 ข้อ โดยวันนี้ตั้งแล้ว 7 คณะทำงานฯ และอาทิตย์หน้าคาดว่าจะมีการตั้งคณะทำงานฯ ให้ได้ 8-9 วาระ และให้มีตัวแทนพรรคที่เชี่ยวชาญมาดำเนินการ ระหว่างรอ กกต.รับรอง ส.ส. ก่อนประชุมเลือกนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยการหารือกันระหว่างเพื่อไทย ก้าวไกล ต้องสอดคล้องกับเวลาทางกฎหมาย และเวลา กกต.อย่างที่เรียกร้องไปยัง กกต.ว่า ประชาชนต้องการให้การทำงานของรัฐบาลไร้รอยต่อ

เมื่อถามถึงกรอบเวลาในการหารือเรื่องประธานสภาฯ ระหว่าง พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย นายพิธา กล่าวว่า เรื่องประธานสภาฯ เป็นการพูดคุยเฉพาะเพื่อไทย และก้าวไกล ยืนยันว่า จะทำให้เร็ว และเหมาะสมที่สุด ตามกรอบของกฎหมาย จะบอกว่าเสร็จภายในวันหรือเวลาใดคงไม่เหมาะสม แต่กฎหมายบอกไว้ว่าต้องทำเสร็จเมื่อไหร่ จึงดำเนินการตามนั้น

ทางด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมนายพิธาถึงประเด็นนี้ว่า ยืนยันตาม นายพิธา ว่าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ว่า คณะกรรมการประสานงานฯ มีการหารือเบื้องต้น มีข้อตกลงร่วมกันชัดเจนว่า ตำแหน่งประธานสภาฯ ทั้ง 2 พรรคจะพิจารณาร่วมกัน ไม่คำนึงว่าเป็นโควตาของพรรคใด พรรคหนึ่ง และจะไม่เกิดเป็นปัญหาอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันทั้ง 8 พรรค ไม่ว่าก้าวไกล หรือเพื่อไทย ไม่เป็นประเด็นให้เกิดความขัดแย้ง ตำแหน่งประธาน ไม่เป็นอุปสรรคต่อการจัดตั้งรัฐบาล และเลือกนายกฯ โดยจะมุ่งเน้นประโยชน์สุขต่อประชาชน ที่มุ่งหวังรัฐบาลประชาธิปไตย และทำให้เร็วที่สุด หมายความว่า ถ้า กกต.ประกาศรับรอง ส.ส. จะมีข้อยุติตรงนั้น เตรียมเข้าสู่การเลือกที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร

ส่วนกรณีการเจรจากับ ส.ว. เพื่อหาเสียงโหวตนายพิธาเป็นนายกฯ นั้น นายพิธา กล่าวว่า เห็นแต่พาดหัว ยังไม่เห็นรายละเอียดว่าเกิดอะไร แต่ของเรามั่นใจว่า ไม่ได้มีการข่มขู่แต่อย่างใดแน่นอน เป็นการพูดคุยกัน เพื่อรักษาระบบของประเทศนี้ให้ได้ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นการรักษาระบบของรัฐสภา หาทางออกบ้านเมือง ยืนยันว่าไม่มีอะไร ที่ผ่านมาคณะเจรจามีการพูดคุย เป็นไปทิศทางที่ดี

“ยืนยันว่าที่ผ่านมา ไม่มีความสั่นคลอนอะไร แต่สิ่งที่ทำน้อยไป และเพิ่งทำวันนี้ คือเอาปัญหาประชาชนเป็นที่ตั้ง เชื่อว่าสื่อเห็นด้วย และให้ความร่วมมือ ถ้ามีคำตอบดีๆ มันน่าจะเป็นการเสนอข่าวสื่อสร้างสรรค์” นายพิธา กล่าว

ส่วน นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า วันนี้เวลาและความหวังของประชาชนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตนอยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันให้เวลา และความหวังของประชาชน สำเร็จด้วยความเรียบร้อยตามเจตนารมณ์ของประชาชนที่แท้จริงในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่อยากให้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปทำเรื่องนี้ให้ประชาชนผิดหวัง ตนอยากให้ทุกคนมองเห็นว่าความหวังของประชาชนเป็นสิ่งที่มีพลัง ถ้าเราไม่สนใจเรื่องนี้แล้วผลักความหวังของประชาชนออกไป พลังประชาชนจะมากเพียงพอที่อาจทำให้อะไรเกิดขึ้นก็ได้

นอกจากนี้ ขอให้ กกต. เร่งรับรอง ส.ส. เพื่อให้เกิดการนับหนึ่งในกระบวนการเลือกประธานสภาฯ และนายกฯ โดยเร็วที่สุด ตนไม่ไดกดดัน กกต. แต่ กกต.ต้องทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่ล่าช้า ถ้า กกต.ไม่รับรอง ส.ส. ทุกอย่างก็นับหนึ่งไม่ได้ ความเชื่อมั่นในการลงทุน และความเชื่อมั่นจากต่างประเทศก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้