เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ที่พรรคก้าวไกล นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์ขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยตัวแทนเครือข่ายผู้ประกอบการขนส่ง 10 สมาคม เข้าร่วมประชุมกับ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล โดยได้ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม โดย นายอภิชาต กล่าวว่า ก่อนอื่นขอบคุณนายวิโรจน์ที่เปิดโอกาสให้เรามีโอกาสมายื่นในเรื่องการจ่ายส่วย และขบวนการที่อยู่ในพื้นที่ของประเทศไทย วันนี้มีสมาชิก 10 สมาคมฯ ทั่วประเทศมาร่วมแถลงข่าว ตนอยากเรียนว่า กลวิธีการมีส่วยเริ่มตั้งแต่ 2539 มีการพัฒนาเพิ่มความรุนแรงจนมาถึงปี 2566 นี้ ถามว่าที่ผ่านมาสหพันธ์ฯ ทำอะไรอยู่จึงแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ทั้งนี้ ในช่วงปี 2539-2540 สื่อโทรทัศน์ช่องหนึ่งได้มีการนำเสนอภาพข่าวตำรวจเก็บส่วยจากรถบรรทุก ทำให้การเก็บส่วยลักษณะดังกล่าวหมดไป แต่เปลี่ยนมาเป็นสติกเกอร์ของแต่ละเจ้าแต่ละองค์กรแทนเพื่อเคลียร์ทางในการทำผิดกฎหมาย

นายอภิชาติ กล่าวว่า ตนเฝ้ารอมา 20 กว่าปี ที่ผ่านมา เราร้องเรียนทุกนายกรัฐมนตรี ผบ.ตร. ตำรวจทางหลวง จนถูกข่มขู่ มีการให้เบอร์โทรศัพท์จากนายสิบ นายดาบ ตำรวจชั้นผู้น้อย บอกให้ไปเคลียร์ส่วยกับเจ้านายเอาเอง ถ้าไมเคลียร์ก็ถูกหาเรื่องให้เสียค่าปรับ ทั้งนี้สหพันธ์ฯ มีรถบรรทุก 4 แสนกว่าคัน เราทำเอ็มโอยูว่าจะอยู่ภายใต้กฎหมาย แต่รถบรรทุกที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกทั้งหมดมีจำนวน 1.5 ล้านคัน เราเป็นเพียง 1 ใน 3 ของขบวนการนี้ ซึ่งยืนยันว่าสมาชิกไม่มีใครทำผิดกฎหมาย แต่รถบรรทุกที่เหลืออีก 1 ล้านเศษนั้น คิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 2 แสนคัน ราคาสติกเกอร์มีตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย คือตั้งแต่ 3,000-2 หมื่นบาท ซึ่งเป็นสติกเกอร์พรีเมียม บรรทุกน้ำหนักได้ไม่จำกัด โดยขณะนี้มีแผ่นสติกเกอร์เกลื่อนถนน 40-50 แบบ อีกเรื่องคือรถบรรทุกมีกฎหมายให้วิ่งเลนซ้ายอย่างเดียว แต่ทุกวันนี้วิ่งเลนขวา ที่ทำได้เพราะมีค่าเคลียร์ 1,000-1,500 บาทต่อเดือน และมีเคลียร์แต่งรถสวยด้วย ทุกพื้นที่ประเทศไทยมีแต่ส่วยซ่อนรูปทั้งนั้นเลย

นายอภิชาติ กล่าวว่า ขณะนี้นายวิโรจน์ยังไม่ได้เป็นรัฐมนตรีอะไรเลย แต่หยิบยกปัญหาของประชาชนที่เป็นหัวใจสำคัญ เพราะการขนส่งเป็นหัวใจสำคัญ เป็นเส้นเลือดใหญ่ หากการขนส่งไม่ราบรื่น สินค้าอุปโภคบริโภคก็จะติดขัด เพราะต้นทุนค่าขนส่งสูงขึ้น รวมทั้งราคาพลังงานที่ยังลดลงไม่ได้ วันนี้เราพบแสงสีส้มที่ปลายอุโมงค์แล้ว อดีตที่ผ่านมา ฝนตั้งเค้ามานานแต่ไม่ตกเสียที วันนี้ฝนกำลังเริ่มตกชะล้างสิ่งปรกในพื้นที่ของประเทศไทยให้สะอาดหมดจด ตนไม่เคยติดต่อนายวิโรจน์ แต่นายวิโรจน์หยิบปัญหาที่เป็นชอตเด็ดสู่สังคมไทย จากที่ผ่านมาเราร้องเรียนไปทุกกรมกองแต่ไม่เคยมีการแก้ปัญหา ที่ผ่านมามีแต่คำหลอกลวงเรา วันนี้หลังการประชุมคงมีการตกผลึกปัญหา ส่วนจะแก้ไขทั้งระบบได้หรือไม่ เรื่องนี้เป็นปัญหาเรื้อรังมานานต้องใช้เวลา แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นขึ้นมาแล้ว ทั้งนี้จากใจประชาชนฝากถึง ส.ว. ขอให้ช่วยสนับสนุนการฟอร์มรัฐบาลของพรรคก้าวไกล และพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้เพราะเราจมปลักอยู่ตรงนี้มา 10 ปี แล้ว

ด้าน นายวิโรจน์ กล่าวว่า เวลานี้ทุกคนต่างพุ่งเป้าไปที่ตำรวจทางหลวงเป็นหลัก แต่ยังมีในส่วนของตำรวจภูธร ที่เกี่ยวกับงานจราจร และสำนักควบคุมน้ำหนักยานพาหนะบางคน ที่มีส่วนร่วมในเรื่องส่วยด้วย ซึ่งตนไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนมีส่วนร่วม เจ้าหน้าที่ที่ดีและตั้งใจทำงานก็ยังมีอีกมาก โดยเรื่องนี้ต้องแก้ปัญหาทั้งระบบเพราะความเสียหายเป็นหมื่นล้าน วาระสำคัญในการประชุมวันนี้จะมีการสืบสาวราวเรื่อง ที่มาที่ไปเกี่ยวพันกับข้าราชการคนไหนบ้าง จากนี้ตนจะไปพูดคุยกับ ไปพูดคุยกับจเรตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับบัญชาการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจทางหลวงต่อไป หวังว่าจะมาปราบปรามตรงนี้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นจะปราบอย่างเดียวไม่ได้ เรื่องการทบทวนการแก้ปัญหากฎหมายให้เป็นธรรมก็ต้องดำเนินการต่อไป รวมทั้งมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในเรื่องด่านชั่งน้ำหนักอย่างจริงจัง ไปจนถึงการยกเลิกซื้อขายตำแหน่งตำรวจ และระบบตั๋ว เพื่อแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นอย่างยั่งยืนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าวนายอภิชาตได้มอบเอกสารสติกเกอร์ส่วย รวม 46 ป้าย พร้อมรายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งประเทศให้กับนายวิโรจน์ โดยนายวิโรจน์ กล่าวยืนยันว่า รายชื่อทั้งหมดจะถึงมือจเรตำรวจแห่งชาติแน่นอน

ทั้งนี้นายวิโรจน์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า สำหรับการปราบปรามส่วยพรรคก้าวไกลต้องดำเนินการใน 4 เรื่อง 1.เรื่องการปราบปราม โดยกฎหมายที่พรรคก้าวไกลต้องดำเนินการแน่ๆ คือ พ.ร.บ.ปกป้องผู้เปิดโปงเบาะแสการทุจริต ที่จะทำให้เราสาวไส้และทลายได้ทั้งวงจร 2.ระบบคุณธรรมในระบบราชการ ข้าราชการที่ตั้งใจทำงานสุจริตต้องเติบโต ไม่ใช่การวิ่งเต้นซื้อตั๋ว 3.การทบทวนกฎหมายที่ล้าสมัย ที่เป็นช่องทางในการเรียกรับผลประโยชน์ 4.การใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการใช้เอไอจับโกงหรือพิรุธในการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง การชั่งน้ำหนักตามด่าน เป็นต้น.