เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านดงพลอง ต.ดงพลอง อ.แคนดง จ.บุรีรัมย์ ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใน จ.บุรีรัมย์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาลอย่างทรมาน ตรวจสอบผู้ร้องคือ น.ส.นัญชิดา อายุ 39 ปี ทำงานอยู่ในสำนักงาน อบต.แห่งหนึ่ง ในอ.แคนดง ได้นำเอกสารการเสียชีวิตของนางรวง อายุ 58 ปี แม่ของตัวเอง ที่เสียชีวิตไปเมื่อกลางดึกของวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา มาร้องสื่อ โดยในเอกสารการเสียชีวิตของนางรวง หมอระบุกระดูกซี่โครงหักจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์เวลา 02.46 วันที่ 10 มิ.ย.การเสียชีวิตดังกล่าวของนางรวง สร้างความกังขาให้กับ น.ส.นัญชิดา ลูกสาวเป็นอย่างมาก เพราะอาการของแม่ไม่ควรจะเสียชีวิต

น.ส.นัญชิดา เล่าว่า เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.เวลา 07.00 น.แม่ได้ขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านเพื่อไปทำงานเป็นแม่บ้านในตัวอำเภอสตึก จ.บุรีรัมย์ ระยะทางห่างจากบ้านประมาณ 15 กม. เมื่อขับรถไปได้ประมาณ 5 กม.ได้เกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้มกลางถนน ซึ่งจากคำบอกเล่าของแม่ มีสุนัขมาวิ่งตัดหน้าจึงเบรกแล้วล้มลงทำให้รถจักรยานยนต์ล้มใส่ร่าง หลังจากนั้นหน่วยกู้ชีพ อบต.ดงพลอง ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลแคนดง ซึ่งหลังจากนั้นตัวเองเข้าไปดูแลแม่อย่างใกล้ชิด โดยอาการของแม่มีอาการปวดช่องท้องตลอดเวลา

จนกระทั่งหมอเอาตัวไปเอ็กซ์เรย์ พบว่ากระดูกซี่โครงด้านขวาหัก 3 ซี่ ไหปลาร้าขวาหัก หลังจากนั้นนอนรอหมอมาดูอาการเป็นระยะ แต่อาการปวดท้องของแม่ไม่ดีขึ้น แม่บอกตลอดเวลาว่า”ปวดท้องมาก”ให้หมอมาฉีดยาให้ด้วย

ช่วงบ่ายวันที่ 8 มิ.ย.จึงขอย้ายแม่ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ ได้รับคำตอบจากหมอว่า อาการแม่ไม่เป็นอะไรมาก ทางโรงพยาบาลรักษาได้ โรงพยาบาลบุรีรัมย์มีคนไข้แน่น ไม่ควรจะไปเพราะที่นี่”เอาอยู่”ขณะแม่ยังนอนร้องด้วยความเจ็บปวดตลอดเวลา

เวลา 21.00 น.วันที่ 8 มิ.ย.ไปร้องขอย้ายแม่ไปรักษาต่ออีกครั้ง ได้รับคำตอบจากหมอว่า เวลานี้หมอไม่ทำงานจะต้องรอรุ่งเช้าของวันถัดไปอยู่ดี ตนต้องนอนฟังเสียงแม่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดตลอดทั้งคืนจนไม่ได้นอน

วันที่ 9 มิ.ย.แม่ยังมีอาการเช่นเดิมคือปวดช่องท้องตลอดเวลาจึงไปแจ้งหมออีกว่าแม่ปวดหมอได้เอายามาฉีดเพื่อให้หายปวด แต่บรรเทาได้เพียง 4 ชม.แม่ก็กลับมาปวดอีก หลังจากนั้นแม่บอกว่าหายใจไม่ออก หมอจึงเอาออกซิเจนมาใส่ให้ แต่ไม่ได้ทำอะไรต่ออีก พยายามขอย้ายแม่ไปรักษาที่บุรีรัมย์ แต่ถูกปฏิเสธทุกครั้ง ส่วนตัวอยากจะพาแม่ไปเอง แต่ไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ จึงจำเป็นต้องรอให้แม่ดีขึ้นตามที่หมอแจ้ง

ตอนค่ำวันที่ 9 แม่ยังเหมือนเดิม ไปขอหมอให้ย้ายแม่อีกครั้ง ทำให้หมอไม่พอใจและได้รับคำตอบเดิมว่า”เวลานี้หมอออกเวรแล้ว”ต้องรอวันรุ่งขึ้น และเมื่อเวลาประมาณ 01.30 น.ของคืนเดียวกันแต่เป็นวันที่ 10 มิ.ย.แม่เกิดอาการตาค้างพยายามดึงสายออกซิเจนออก เหมือนต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แล้วนิ่งไป จึงวิ่งไปแจ้งหมอมาดู โดยรอบนี้หมอตื่นเต้นมากที่สุดหลังมาดูอาการของแม่ ต่างจากทุกครั้งที่ไปแจ้ง จากนั้นหมอหลายคนได้พยายามปั๊มหัวใจแม่นานกว่า 1 ชม.แม่ไม่ฟื้น แล้วหมอแจ้งว่า”หมอเสียใจด้วย”

น.ส.นัญชิดา กล่าวอีกว่า งานศพแม่โรงพยาบาลเอาพวงหรีดไปมอบให้ 1 พวง และช่วยงานมา 1,000 บาท หลังจากฌาปณกิจศพแม่เสร็จ หมอได้แจ้งกับตนว่า”โรงพยาบาลเราเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก ไม่มีอุปกรณ์เพียงพอในการรักษา”จะให้โรงพยาบาลช่วยเยียวยาแบบไหน ยอมรับแปลกใจที่หมอเปลี่ยนคำพูดจากคำว่า”เราเอาอยู่เรารักษาได้ไม่หนัก” มาเป็นเครื่องมือไม่เพียงพอ

หลังจากตนแจ้งว่า”แม่มีหนี้สินหลายแสนบาท”หลังจากนั้นเป็นต้นมาโรงพยาบาล โดยเฉพาะ ผอ.โรงพยาบาล ได้ออกมาชี้แจงกับตนว่าแม่มีประกันสังคมควรจะไปเบิกเงินเยียวยาจากประกันสังคม ทางโรงพยาบาลจะช่วยวิ่งด้านเอกสารช่วย ทางโรงพยาบาลไม่มีเงินจะเยียวยาให้ ตนรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม และเชื่อว่าแม่เสียชีวิตเพราะความบกพร่องในการบริหารจัดการของโรงพยาบาล หากพาแม่ไปส่งรักษาต่อแล้วแม่เสียชีวิตตนไม่เสียใจ แต่ครั้งนี้พยายามร้องขอ เพราะแม่รู้สึกตัวตลอดเวลา พูดตอบโต้ได้แม่ไม่ควรตายแบบนี้เชื่อว่าแม่ต้องมีความผิดปกติบางอย่างในช่องท้อง แต่หมอไม่สนใจ สงสารแม่ที่เจ็บปวดทรมานยาวนานกว่า 40 ชม.แต่ใครช่วยไม่ได้จึงออกมาร้องผ่านสื่ออยากให้ผู้มีความรู้ด้านนี้มาชี้แนะ