เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “จังหวะนัดประชุมแปดพรรค 2 กรกฎาคม ชี้ว่าก้าวไกลตรงไปตรงมา” มีรายละเอียดดังนี้

จังหวะนัดประชุมแปดพรรค 2 กรกฎาคม ชี้ว่าก้าวไกลตรงไปตรงมา

ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรกลายเป็นสนามการเมืองจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคต้องปั่นป่วนอย่างฉับพลันในสังคม เมื่อพรรคเพื่อไทยแถลงมติพรรคเมื่อบ่าย 5 โมงเย็นของวันอังคาร 27 มิถุนายน ว่าต้องได้ประธานสภาบวก 14 ตำแหน่งรัฐมนตรี

ข้อเสนอเขย่าขวัญของเพื่อไทยนี้ เสมือนหนึ่งเป็นการโยนระเบิดเข้าสู่วงจัดตั้งรัฐบาลในยามค่ำคืนของวันรำลึกถึง 91 ปีรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ดีที่สุดของชาติไทย

คืนนั้น ก้าวไกลประสานขอเลื่อนนัดประชุมแปดพรรค ที่จะมีขึ้นในวันต่อมาคือ 28 มิถุนายน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ก้าวไกลต้องการเวลาคิดในการรับมือกับปัญหาใหญ่นี้

วันต่อมา 28 มิถุนายน ขณะที่เพื่อไทยโยนข้อเสนอที่ดูจะมีใจนักเลงและเป็นธรรมมากขึ้นให้ก้าวไกลอีกว่า ยินดีให้ตำแหน่งรัฐมนตรีของตนต่อก้าวไกลอีก 1 เพื่อแลกกับที่เพื่อไทยจะได้ประธานสภา นำเสนอสูตรว่า ก้าวไกล 15+1 เพื่อไทย 13+1

ก้าวไกลตอบกลับด้วยความเงียบ พร้อมข้อเสนอนัดประชุม 8 พรรคร่วมจะจัดตั้งรัฐบาลในวันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม หรืออีก 4 วันข้างหน้า

และก้าวไกลยังคงเงียบในประเด็นประธานสภา

แค่ 1 คืน 1 วัน จากข้อเสนอแบบระเบิดที่พรรคเพื่อไทยโยนเข้าสู่ฝ่ายประชาธิปไตยที่ต้องการเห็นการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เป็นไปอย่างเรียบร้อย ต้องเต็มไปด้วยข่าวลือต่างๆ นานาอีกครั้ง

พร้อมกับฝ่ายเครือข่ายรัฐทหารก็โหมกระหน่ำด้วยกระบวนการทางองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ทั้งโดยบุคคลทั่วไปไม่กี่คน ส.ว. ตัวตึงไม่กี่คน ผ่าน กกต. ผ่าน ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเผด็จศึกพิธา ไม่ให้ได้เป็นนายกฯคนใหม่ และล้มรัฐบาลแกนนำพรรคก้าวไกล เพื่อทำลายความหวังของประชาชนที่แสดงออกด้วยพลังเลือกตั้งครั้งที่มาใช้สิทธิมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

กว่าจะถึงวันอาทิตย์ 2 กรกฎาคม คอการเมืองอาจความดันขึ้นสูง และหลายคนอาจเต็มไปด้วยความทุกข์

ผมอยากชี้ให้เห็นว่า การเลือกนัดประชุมแปดพรรคตั้งรัฐบาลวันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม คือการทำให้เราจะได้คำตอบชัดเจน ไม่ต้องเดารายวัน ว่าประธานสภาจะเป็นของพรรคก้าวไกล หรือไม่ก็ไม่มีพิธาเป็นนายกฯ ไม่มีรัฐบาลก้าวไกลอีกต่อไป

ประการแรก ถ้าก้าวไกลนัดประชุมวันใดวันหนึ่งก่อนถึงวันเปิดประชุมสภาวันแรก (3 กรกฎาคม) จะเป็นการทำให้ข่าวสารสับสนวุ่นวาย สังคมคงพูดคงวิเคราะห์อะไรมากมายและมีข่าวลือเต็มไปหมด

ประการที่สอง เมื่อถึงวันประชุมแปดพรรค 2 กรกฎาคม คือการเปิดความต้องการและการเจรจาระหว่างก้าวไกลและเพื่อไทยอย่างตรงไปตรงมา

ผมลอง “คิดแบบก้าวไกล” ในวันประชุมวันที่ 2 กรกฎาคม นี้ คือ

1) ประธานสภาผู้แทนต้องเป็นของก้าวไกล โดยก้าวไกลยินดีให้ตำแหน่งรัฐมนตรีแก่เพื่อไทยเพิ่มเป็น 15 บวก 1 รองประธานสภา หรืออาจตัดใจให้เพิ่มรัฐมนตรีไปอีก 1 ก็ได้ แบบให้กันสุดๆ

2) ถ้าประธานสภาผู้แทนไม่ใช่พรรคก้าวไกล ก็ไม่จำเป็นต้องมีพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้

พรรคอันดับที่ 1 ต้องได้ตำแหน่งประธานสภา สิ่งนี้เป็นวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่พรรคการเมืองไทยร่วมสร้างกันมาตั้งแต่เลือกตั้งปี 2518 แบบที่พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ปฏิบัติมาตลอดมาตั้งแต่ปี 2544 จนถึง 2557 ก่อนรัฐประหาร

3) รัฐบาลพิธา ก้าวไกล จะบริหารประเทศตามนโยบายที่หาเสียงได้อย่างไร ในเมื่อกฎหมายที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขหรือกฎหมายใหม่ๆ ไม่ถูกบรรจุเข้าที่ประชุมสภาและรัฐสภา ด้วยกลวิธีต่างๆ ของประธานสภา/รัฐสภา

เช่น เมื่อประชาชนร่วมลงชื่อแก้ไขกฎหมายอาญา ม.112 จำนวน 26,968 รายชื่อยื่นต่อสภาเมื่อ 30 พฤษภาคม 2555 อีกเกือบ 5 เดือนต่อมา ประธานสภา ซึ่งเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย วินิจฉัยตัดสินว่า ไม่สามารถเสนอร่างกฎหมายของประชาชนนี้ให้สภาพิจารณาได้ เพราะไม่ได้เป็นกฎหมายว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของประชาชน และไม่ใช่แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เป็นต้น

ยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่ประธานสภาคือเครื่องมือเหนี่ยวรั้งดังตัวอย่างที่ผ่านมา ที่รัฐบาลพิธา ส.ส.ก้าวไกล อาจทำอะไรไม่ได้เลยตามนโยบาย

ยิ่งไม่ต้องคิดถึงว่า พ.ร.บ.ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร ที่คนไทย 66% คน Gen Z 86% ต้องการให้ยกเลิก หรือนโยบายการตัดลดงบจากหน่วยงานต่างๆ ที่ฟุ่มเฟือย ซ้ำซ้อน ไม่จำเป็น จะถูกขัดขวางในกระบวนการสภาผู้แทนและรัฐสภาอย่างถึงที่สุดอย่างไรบ้าง

สรุปถ้า “คิดแบบก้าวไกล” ถ้าก้าวไกลไม่ได้เป็นประธานสภาผู้แทน ก็ยกเลิกจัดตั้งรัฐบาลพิธาไปเสียเลยยังดีกว่า เพราะก้าวไกลจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่แทบไม่ได้เลย จะติดขัดในกระบวนการรัฐสภาทั้งสิ้น ยังไม่ต้องคิดว่า ยังมี ส.ว. อีกเป็นด่านขัดขวางการเปลี่ยนแปลงสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่สำคัญของชีวิตที่จะดีขึ้นของคนไทย

4) ดังนั้น ถ้า 2 กรกฎาคม ไม่อาจตกลงในประเด็นประธานสภาให้เป็นของก้าวไกลได้ ก็น่าจะเป็นการเปิดประชุมสภาที่ว่างเปล่า คิดแบบก้าวไกลคือ ก้าวไกลพร้อมคืนอำนาจให้ประชาชนโดยการเลือกตั้งใหม่

พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ กรรมการพรรคอนาคตใหม่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองคนละ 10 ปี แต่ฝ่ายรัฐทหารระบอบเก่าไม่สามารถหยุดยั้งพลังการทำงานเพื่อสร้างสรรค์ชาติและชีวิตประชาชนที่ดีกว่าได้ พวกเขาจำนวนมากในทีมงานจังหวัด ยังคงทำงานในท้องที่จังหวัดเขตเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องไม่เคยหยุดมาถึงทุกวันนี้

นักการเมืองหน้าใหม่รุ่นใหม่ของก้าวไกลไม่ได้แสดงตนว่ากระเหี้ยนกระหือรือที่อยากจะได้อยากจะเป็นรัฐมนตรี นี่คือจุดแข็งของก้าวไกล พวกเขายอมสละตำแหน่งเพื่อส่งเสริมให้พรรครักษาอุดมการณ์

ผมลอง “คิดแบบก้าวไกล” พวกเขาเริ่มต้นจากความคิดว่าจะเปลี่ยนสังคมไทยอย่างมีนัยสำคัญได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็ 16 ปี แต่นี่เพียง 4 ปีเท่านั้นที่พวกเขาก็ได้รับการสนับสนุนอย่างถล่มทลายจากประชาชนไทย 14.4 ล้านคน จากวันแรกๆ ที่แทบไม่อยากคุยด้วยกับพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงต้องยืนหยัดตามอุดมการณ์มากกว่าที่จะยึดกุมการเป็นรัฐบาลแล้วทำอะไรไม่ได้ตามที่ฝันเลย
ผมลอง “คิดแบบก้าวไกล” จะเห็นว่า พวกเขามั่นคงว่า เวลาอยู่ข้างเรา ก้าวไกล

ผมลอง “คิดแบบก้าวไกล” นี้ เพื่อสรุปให้เห็นแนวทางที่ชัดเจนว่า ถ้าก้าวไกลไม่ได้เป็นประธานสภา ก็ไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาลก้าวไกลและอีก 7 พรรคการเมือง ก็ได้เช่นกัน

ท่านลอง “คิดแบบก้าวไกล” ท่านจะเห็นความไม่หวั่นไหว ท่านจะเห็นชัยชนะของพรรคร่วมฝ่ายประชาธิปไตย อย่างแน่นอน
ท้ายนี้ อาจารย์ธำรงศักดิ์ ฟันธง! ก้าวไกลได้เป็นประธานสภา พิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรี 100%.