เกมการเมืองนับต่อจากนี้ จะเข้าสู่รูปแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน หมัดแลกหมัด ต้องเจอนิติสงคราม สู้กับผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ต่างฝ่ายต่างงัดกลยุทธ์ออกมาฟาดฟัน

ถึงแม้ “พล.อ.ประยุทธ์” จะเล่นบทขอล้างมือในอ่างทองคำ ประกาศวางมือทางการเมือง ลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ “ปิดตำนาน 3 ป.” ปล่อยให้พี่ใหญ่ อย่างลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐ เดินหน้าลุยเดี่ยวในเกมอำนาจการเมือง

เมื่อมาจับสัญญาณจากเหตุวันที่ 12 ก.ค. ก่อนวันโหวตนายกรัฐมนตรีแค่วันเดียว องค์กรอิสระทั้ง กกต. และ ศาลรัฐธรรมนูญ ตบเท้า พากันแจกคดีให้ “พ่อทิม” และพรรคก้าวไกล กันแบบจุกๆ โดยเริ่มที่ กกต. มีมติ 4 ต่อ 1 ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติ ส.ส. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) หรือไม่ และขอให้มีคำสั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่ไว้จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย เพราะมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัทไอทีวี จำกัด มหาชน จำนวน 42,000 หุ้น แต่กรณีนี้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ลงรับคำร้องในทางธุรการแล้ว  

ตามมาด้วยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณารับคำร้อง ของ “ธีรยุทธ สุวรรณเกสร” (ผู้ร้อง) ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 49 ว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 2) ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. … เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่ ไว้พิจารณาและแจ้งให้ “พิธา” และ “พรรคก้าวไกล” ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน

กรณีมาตรา 112 ข้อหาล้มล้างการปกครอง ซึ่งถือว่า เป็นคดีที่หนักหน่วงถึงขั้นยุบพรรคก้าวไกลถ้ามีความผิดจริง เห็นแววเดินรอยตามคดียุบพรรคอนาคตใหม่ ที่แกนนำระดับกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี เจอพิษนิติสงครามโค่นแกนนำ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลขาฯ พรรค “ชัยธวัช ตุลาธน” นำทีม ส.ส.พรรคก้าวไกล กว่า 100 คน ร่วมกันแถลงโต้เดือด กะซวก กระบวนการยุติธรรม ที่เห็นว่าไม่มีความยุติธรรม เป็นการกลั่นแกล้ง คิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นแผนสมคบคิดสกัด “พิธา-ก้าวไกล” ไม่ให้เข้ามาคุมเกมอำนาจรัฐบริหารประเทศ พร้อมชี้ว่า การที่ กกต. เสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญอย่างรีบเร่ง ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหามายัง “พิธา” และไม่เปิดโอกาสให้มีการชี้แจงข้อกล่าวหา พรรคก้าวไกลเห็นว่ากรณี กกต. เลือกปฏิบัติ อันอาจเป็นการกระทำผิด ฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ในฐานะผู้แทนราษฎร ขอฝากเสียงเตือนจากประชาชนไปถึง กกต. และองค์กรอิสระทั้งหมดว่า อย่าลุแก่อำนาจจนเกินขอบเขต วันใดวันหนึ่งเมื่อการเมืองกลับมาเป็นปกติ ประชาชนจะลงโทษพวกท่าน

พรรคก้าวไกลประกาศสู้ไม่ถอย ถึงแม้ “พิธา” จะไม่ผ่านการโหวตยกแรก แต่ก็ประกาศชัดเจนจะขอเดินหน้าสู้ฝ่าด่าน ส.ว. ด้วยการใช้เวทีรัฐสภาเสนอชื่อให้โหวตเป็นนายกรัฐมนตรี จนกว่าจะสำเร็จ พร้อมปลุกด้อมส้มลุกฮือทั่วประเทศประเดิม งานแรกแค่น้ำจิ้มด้วยการใส่สีส้ม ปักหลักหน้ารัฐสภา โดยมี เจี๊ยบ “อมรัตน์ โชคปมิตรกุล” เป็นผู้ดูแลด้อมที่มาให้กำลังใจ ตามคำปลุกเร้าของบรรดาแกนนำ ที่หน้ารัฐสภา 

นับเป็นเหตุการณ์เขย่าขวัญคนไทยพากันหวาดหวั่น การเมืองไทยจะไปสู่ทางตันกันอีกรอบ นำไปสู่วงจรอุบาทว์ และยิ่งการเมืองยืดเยื้อไม่สามารถจัดตั้งรับบาลได้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และคนที่เดือดร้อน คือประชาชนคนไทยทั้งประเทศ

แต่ผู้นำแห่งจิตวิญญาณ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ออกมาส่งสัญญาณให้พรรคก้าวไกล ตั้งสติและตั้งหลักสู้ใหม่เพื่อชัยชนะในวันข้างหน้า เพราะเห็นว่า “การลงคะแนนเสนอ “พิธา”ไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ทำอะไรอื่นเลย ไม่มีทางที่จะได้คะแนนเพิ่มมากกว่าวันนี้ หากพวกเขายังไม่ยอมยกเลิกมาตรา 272 ให้อีก  อย่างน้อย พรรคก้าวไกลก็ได้ทำให้ประชาชนเห็นแล้วว่า พยายามต่อสู้อย่างถึงที่สุดแล้ว พยายามปกป้องคะแนนเสียงร่วม 27 ล้านเสียง แล้วถอยออกมาประจานระบบนี้ให้สังคมไทยได้รู้ จงยืดอกอย่างภูมิใจและทระนงองอาจในความเป็น “แกะดำ” ของการเมืองไทยในวันนี้ แล้วอดทนรณรงค์อย่างต่อเนื่อง เส้นแบ่ง “ใหม่หรือเก่า” และขั้วขัดแย้งในการเมืองไทย ชัดขึ้นกว่าเดิม แหลมคมกว่าเดิม เมื่อ 14 ล้านยังไม่พอในวันนี้ ต้องทำให้ได้ถึง 20 ล้าน 25 ล้านในวันพรุ่ง”

แต่ถ้าเราจะให้เขาเปลี่ยนใจมาโหวตให้ ก็ต้องมี “ข้อมูลใหม่ หรือสัญญาณใหม่” บังคับให้พวกเขาเปลี่ยนใจ หรือมีมวลชนอันไพศาลออกมาเรียกร้องกดดัน ส.ว. หลายแสนคน หากไม่มีกรณีเหล่านี้เกิดขึ้น ลงคะแนนต่อไปอีกกี่ครั้ง ก็ไม่มีทางที่คนเหล่านี้จะกลับมาเห็นชอบให้ “พิธา” เป็นนายกฯ

หลังจากนี้ต้องจับตาดูกลยุทธ์ทั้งสองฝ่ายว่า จะสู้กันรุนแรงขนาดไหนถ้า และเกมสู้ยิบตาจะทำให้โจทย์สมการทางการเมืองมีการแปรผันปรับสูตร มองถึงรัฐบาลที่จะเกิดขึ้น จะยังคงสูตรเดิม คือ 8 พรรคร่วมประชาธิปไตย แค่เปลี่ยนจากพรรคก้าวไกล มาให้พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำรัฐบาล โดยชู “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ปักหมุดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมา แล้วกางโรดแม็พยุบสภา กำหนดภารกิจให้จบภายในหนึ่งถึงสองปี แต่ถ้าสถานการณ์การเมืองเอื้อ ก็จะอยู่ต่อแบบยาวๆ

แต่ถ้าเกมเปลี่ยนพรรคก้าวไกล สลับฟิลพลิกตัวเป็นฝ่ายค้าน การเมืองจะพลิกขั้วทันที จะเป็นการเปิดก๊อก เปิดล็อกให้พรรคเพื่อไทยทันที โดยจะไปรวบรวมเสียงจากพรรคขั้วอนุรักษนิยมบางพรรคมาเติม จนได้เป็นเสียงข้างมาก ขึ้นจากพรรคอันดับสองมาเป็นพรรคอันดับหนึ่ง และสูตรที่เกิดขึ้นอาจจะเป็น “พรรคเพื่อไทย+พรรคร่วมรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย+ขั้วอนุรักษ์บางส่วน” หรืออาจจะพลิกขั้ว “พรรคเพื่อไทยจับกับกลุ่มอนุรักษนิยม” อาศัยบารมีลุงๆ เปิดทางขอเสียงโหวตจาก ส.ว. ดัน “เศรษฐา” หรือ “อุ๊งอิ๊ง” “แพทองธาร ชินวัตร” ขึ้นนั่งบัลลังก์นายกรัฐมนตรี ตอนนี้สูตรการเมืองยังไม่นิ่ง ทุกอย่างก็จะมีการแปรผันไปตามสถานการณ์

ระหว่างที่สถานการณ์การเมืองยังไม่นิ่ง จู่ๆ มีเอกสารหลุดออกจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล นัดประชุมเตรียมความพร้อมรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ โดยมีวาระแจ้งข่าวและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์และภัยคุกคาม รวมถึงขั้นตอนการดำเนินตามกฎหมายกรณีผู้ต้องหาตามหมายจำคุกเดินทางเข้าไทย โดยเครื่องบินโดยสาร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง หรือสุวรรณภูมิ มีการระบุเส้นทางการเดินทางหลัก-รอง จากสนามบินดอนเมือง หรือสุวรรณภูมิ ไปศาลฎีกา (สนามหลวง), จากสนามบินดอนเมือง หรือสุวรรณภูมิ ไปยัง บช.ปส. (สถานที่ควบคุมพิเศษ), เส้นทางจาก บช.ปส. มายังศาลฎีกา และเส้นทางจากศาลฎีกา ไปเรือนจำพิเศษ กรุงเทพฯ ซึ่ง “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ ออกมายอมรับว่า มีการเตรียมการตามขั้นตอนไว้รับ “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร กลับไทยจริงแต่ยังไม่รู้เมื่อไหร่

สอดรับกับลูกสาวสุดเลิฟ “แพทองธาร ชินวัตร” แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ฐานะบุตรสาวของ ทักษิณ ออกมาบอกว่า การเดินทางกลับประเทศไทยของคุณพ่อ จะบวกลบกับที่เคยบอกไว้แต่ไม่มาก เพราะไม่อยากให้ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ไม่ใช่กลับมาในช่วงที่การเมืองยังไม่นิ่ง ขอให้การโหวตเลือกนายกฯ ให้นิ่งก่อน เมื่อกลับมาจะได้ไม่เป็นการกระตุ้นทางการเมือง ไม่เช่นนั้นจะเป็นปัจจัยความวุ่นวาย ยืนยันว่า จะเดินทางกลับมาแน่นอน แต่ไม่ใช่เดือน ก.ค. ตามที่เคยบอกไว้

สถานการณ์การเมืองยังต้องจับตาห้ามกะพริบ รอดูเกมการโหวตนายกรัฐมนตรีในครั้งที่ 2 จะเกิดอะไรตามมา อีกทั้งเกมนิติสงครามกำลังก่อตัวเร็วจะเป็นแรงผลักพลังมวลชน บรรดาเหล่าด้อมส้มออกจากบ้านพากันลงถนนเกิดความวุ่นวาย ไปต่อไม่ได้ ส่งผลให้ประเทศชัตดาวน์ ประชาชนจะอยู่กันอย่างไร.