สัปดาห์ที่ผ่านมา “ช็อกมินต์ ช็อกดีล” การเมืองสะท้าน รอรับทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านปักหมุด 10 สิงหาคม แต่การกลับมาครั้งนี้ ของ “คุณพ่อโทนี่ วู้ดซัม” “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องกลับเป็นนักโทษสูงอายุ เพราะมีคดีติดตัว และศาลได้มีคำพิพากษาไปแล้ว กรมราชทัณฑ์ได้เปิดประตูคุกรอรับ พร้อมเตรียมแผนดูแลอย่างประคบประหงม

งานนี้ใคร ๆ ต่างฟันธง “ดีลลับ” ใกล้จบแล้ว เพียงรอ “ทักษิณ” กลับมาตัดริบบิ้น ส่วนจะเป็นขั้วไหน ค่ายใดที่จะทะยานเข้าสู่เกมอำนาจต้องจับตาดูในช่วงสัปดาห์นี้ ในห้วงเวลาที่ พรรคเพื่อไทย ได้ขึ้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีเอ็มโอยู 8 พรรคร่วมค้ำคออยู่ ทันทีที่พรรคเพื่อไทยได้รับมติจาก 8 พรรคร่วมรับไม้ต่อจากพรรคก้าวไกล ก็ได้มีการตั้งโต๊ะแถลงถึงแนวทางในการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย โดยมี 3 แนวทาง คือ

1. 8 พรรคร่วมทั้งหมด 312 เสียง ดำเนินการแสวงหาขอเสียงจาก สว. ให้ครบตามจำนวน 375 เสียง ซึ่งขาดอีก 63 เสียง แต่การได้มาซึ่งเสียง สว. อาจจะมีเงื่อนไข ตามที่ สว. ได้ตั้งเงื่อนไข อย่างนโยบายแก้มาตรา 112 ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะต้องไปพูดคุยถึงเงื่อนไขนั้น กับพรรคก้าวไกลและที่ประชุมพรรคร่วม

2. ที่ประชุมพรรคร่วมเห็นว่า กรณีถ้าได้เสียง สว. ไม่พอเพียง ให้พรรคเพื่อไทยไปพูดคุยกับพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่เห็นควร เพื่อให้มาซึ่งเสียงสนับสนุน ซึ่งพรรคการเมืองที่จะไปพูดคุยเป็นเสรีภาพของพรรคเพื่อไทย

3. แนวทางอื่น ๆ ที่ประชุมให้พรรคเพื่อไทยเป็นผู้ดำเนินการ

ทำให้เห็นละครฉากใหญ่เกิดขึ้นทันควันกับการเชิญ 5 พรรคร่วมรัฐบาลขั้วเดิม มาเจรจาที่ พรรคเพื่อไทย โดยพรรคแรกที่เชิญมา คือ พรรคภูมิใจไทย ตามด้วย พรรคชาติพัฒนากล้า พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคพลังประชารัฐ มาตั้งวงซด “ช็อกมินต์” จี๊ดจ๊าดระรื่นกันสนั่นวงการ แต่แทนที่จะได้เป็นฉากหวาน กลับเป็นฉากเศร้าเคล้าน้ำตา เพราะต้องมาเจอกระแสมวลชน ทั้งด้อมส้ม คนเสื้อแดง พลพรรคคนสีเหลืองต่างก็ออกมา สหบาทากลางโลกโซเชียล กับภาพบาดตาบาดใจ

เพราะรับไม่ได้กับฉากการจูบปากระหว่างอดีต ศัตรูคู่อาฆาต จูบปากข้ามขั้วของ “สูตรคู่อาฆาต” โดยเฉพาะการเชิญ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตตัวพ่อกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่ออกมาจัดม็อบขับไล่ “อาปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง และยังเป็นคนสนิทของ “ลุงตู่” พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
ผู้ปฏิบัติการยึดอำนาจจากรัฐบาล พรรคเพื่อไทย เลยกลายเป็น ดีลรักส่อแววล่ม

ขณะที่พรรคก้าวไกลออกมาทุบซ้ำประกาศชัดขอกอดคอพรรคเพื่อไทย ย้ำชัดยึดเอ็มโอยู 8 พรรคร่วม พร้อมหนุนแคนดิเดต
นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ขึ้นเป็นนายกฯ ขณะที่กลุ่มเด็กส้ม “ทะลุวัง” ไม่ยอม นำทีมโดย ตะวัน-ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ “หยก” เยาวชนอายุ 15 ปี และ สายน้ำ-นภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ บุกพรรคเพื่อไทยเรียกร้องกดดันไม่ให้ฉีกเอ็มโอยู ยึดสัจจะ พร้อมนำแผ่นกระดาษโพล มาให้แสดงความคิดเห็นและลงคะแนนว่า “เห็นด้วยหรือไม่ถ้าเพื่อไทยจับมือกับเผด็จการ” นอกจากนี้ยังนำแป้งมาสาดที่พรรคเพื่อไทยเป็นสัญลักษณ์ เมื่อรู้ว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานผู้ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ มาเจรจาที่พรรคเพื่อไทยด้วย ทำให้การเจรจาระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐต้องแยกวงแถลงผลการเจรจา ไม่เหมือน 4 พรรคก่อนหน้าแถลงข่าวกันอย่างชื่นมื่น

จังหวะนี้สถานการณ์ พรรคเพื่อไทย ต้องมาตกอยู่ในสภาวะเจอเกมบีบทั้งสองฟาก เล่นเอาไปแทบไม่เป็น หันซ้ายก็เจอ “มาตรา 112” หันขวาก็เจอ “ลุง ๆ” ที่เคยประกาศไว้ “ไม่ขอจัดตั้งรัฐบาลร่วมด้วยกับพรรคลุง ๆ” ดังนั้นเมื่อมาชั่งน้ำหนัก ถ้ายึด 8 พรรคร่วมโดยกอดคอ พรรคก้าวไกล การตั้งรัฐบาลสนามเลือกตั้งครั้งหน้าก็สะกดคำว่าแพ้พรรคก้าวไกลได้ตั้งแต่บัดนี้ได้เลย

แต่ถ้าพลิกขั้วไปจับกับ 5 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม ก็ยังมีเวลาหายใจได้อีก 2-4 ปี ในการสร้างผลงาน ไม่ต้องถูกใคร ๆ ตราหน้าว่า เป็นพวกล้มล้างการปกครอง แต่เมื่อย้อนกลับไปดูจากผลงานของรัฐบาลเดิมแล้ว โอกาสที่กลายเป็นบัวพ้นตม ชูดอกรับแสงตะวัน จากมวลชนคนรุ่นใหม่ก็มืดมน นาทีนี้คงต้องดูว่า พรรคเพื่อไทย จะหาญกล้าพลิกขั้วรวมกับลุง ๆ เป็นรัฐบาลสร้างผลงานโกยแต้มเอาชนะกระแสด้อมส้มในการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้หรือไม่

เพราะตอนนี้มี “ดีลลับ” ออกมามากมาย ทั้งการชิงตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยมีชื่อ “ลุงป้อม” พล..ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่จะผ่านด่านโหวตของ สว. ขึ้นนั่งนายกฯ แล้วจึงเปิดดีลข้ามขั้วดึงพรรคเพื่อไทยเข้ามาร่วมรัฐบาล

หรืออีกช่องทางหนึ่ง ที่รัฐธรรมนูญเปิดช่อง คือ นายกฯ คนนอก แต่เสียงที่ดังฟังชัดขณะนี้ คือเสียง “คุณพ่อโทนี่” ที่ประกาศผ่านวิดีโอคอลในวันเกิดเข้ามากลางที่ประชุม สส. พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม โดยบอกว่า “อุ๊งอิ๊ง” อยู่พรรค “เศรษฐา” อยู่
ทำเนียบฯ จึงต้องจับตาว่า ก่อนที่ “คุณพ่อโทนี่” จะกลับมาเหยียบแผ่นดินประเทศไทยเป็นครั้งที่ 2 การเมืองจะสะเด็ดน้ำได้อย่างไร หรือการเมืองจะเดือดแรงทะลุปรอทขึ้นไปอีกต้องรอดูกัน เพราะมีกระแส “ดีลลับ” ที่ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคก้าวไกล บินพบ “ทักษิณ” ที่เกาะฮ่องกง เพื่อเจรจาเรื่องจัดตั้งรัฐบาล เป็นจริงหรือไม่ และยังคงคาใจพวกด้อม ว่า บินไปทำไม ปิดดีลหรือไปยอมรับเงื่อนไขใดถอยมาตรา 112 หรือไม่

ถึงแม้จะยังไม่มีคำตอบใด ๆ ออกมา แต่ที่แน่ ๆ ประธานสภาผู้แทนราษฎร “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ได้ปักหมุดเรียกประชุมรัฐสภากำหนดวัน เพื่อโหวตนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งที่ 3 ในวันที่ 4 สิงหาคม หลังเลื่อนมาจากวันที่ 27 กรกฎาคม เพราะสะดุดปมข้อบังคับข้อที่ 41 ที่ประชุมรัฐสภาโหวตคว่ำการเสนอชื่อ “พ่อทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ครั้งที่ 2 เพราะผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ และศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณา ว่าจะรับหรือไม่รับในวันที่ 3 สิงหาคมนี้ต้องมารอลุ้นกันว่าจะออกมาอย่างไร การโหวตนายกฯจะลากยาวหรือไปต่อได้เลยหลังปิดดีลข้ามประเทศ

กลับมาที่ “คุณพ่อโทนี่” ภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็ได้มีการเตรียมแผน เตรียมการรอรับกลับบ้านอย่างอบอุ่นแต่ก็ยังคงต้องเผชิญกับวิบากกรรมอีก 3 คดี ที่กรมราชทัณฑ์ เปิดประตูคุกรออยู่ เพราะศาลได้พิพากษาแล้วและต้องรับโทษ คือ

1.คดีทุจริตโครงการ การออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว คดีหวยบนดินนี้ ที่ศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี

2.คดีการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) (เอ็กซิมแบงก์) ปล่อยกู้ให้เมียนมา เพื่อนำไปพัฒนาโครงการโทรคมนาคมของประเทศวงเงิน 4,000 ล้านบาท ศาลชี้ว่า เป็นเงื่อนไขในการแลกผลประโยชน์กับรัฐบาลเมียนมา โดยให้รัฐบาลเมียนมาสั่งซื้อชิ้นส่วนดาวเทียมจากบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ในเครือบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ตนมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีโทษจำคุก 3 ปี และ 3. คดีให้บุคคลอื่นเป็นนอมินีถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นคู่สัญญาต่อหน่วยงานรัฐและเข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์ตัวเองหรือผู้อื่นในตัวโทรคมนาคม คดีนี้โทษจำคุก 5 ปี

ท่ามกลางการจับตามองถึงความเคลื่อนไหวของมวลชน ว่าจะมีการตบเท้าไปรอรับ “ทักษิณ” หรือรวมกลุ่มกันออกมาต้านการกลับมาครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นตัววัดชีพจรวัดการเมืองในอนาคต เพราะโอกาสคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงจะรวมเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ออกมาต่อสู้กับมวลชนด้อมส้ม ดึงการเมืองกลับไปสู่วงจรอุบาทว์หรือไม่