เมื่อวันที่ 4 ส.ค. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีการจัดกิจกรรมปฐมนิเทศนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และงานรับเพื่อนใหม่ ประจำปี 2566 โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรม : 3 เสาหลักจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ สู่การสร้างสรรค์สังคม” โดยระหว่างที่นายพิธาเดินเข้าสู่ห้องประชุม ได้รับเสียงตอบรับจากนักศึกษา ทั้งปรบมือและส่งเสียงเฮจนลั่นห้อง ซึ่งนายพิธาได้ร่วมกิจกรรมสันทนาการกับนักศึกษาอย่างเป็นกันเองด้วย

ทั้งนี้นายพิธา กล่าวบรรยายตอนหนึ่ง ว่า ตนยินดีที่ได้กลับมาสู่บรรยากาศและพลังงานแบบเหลืองแดงอีกครั้ง สิ่งที่ธรรมศาสตร์ได้สอนตนมา แทบจะไม่ต่างกับวิถีแบบก้าวไกล คือสิ่งที่อยู่ในตัวของตนเอง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรค และ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นดีเอ็นเอที่ใกล้เคียงกัน นั่นคือความยึดมั่นในประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรม

นายพิธา กล่าวว่า ย้อนกลับไปในวันที่ตัวเองเป็นนักศึกษา รหัส 41 เหมือนทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ทั่วโลกมีประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่า 50% ของทั้งโลก แต่วันนี้ความเป็นประชาธิปไตยบนโลกถอยหลังลงอยู่เหลือเพียงประมาณ 20% ส่วนความเหลื่อมล้ำ ในสมัยนั้น คนที่รวยที่สุด 1% กับคน 50% ล่าง มีโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรต่างกัน 8 เท่า แต่เวลานี้คือ 16 เท่า คน 1% ข้างบนสุดครองทรัพย์สิน 50% ของทั้งโลก ส่วนคน 50% ครองทรัพย์สิน 2% เท่านั้น น่าเจ็บใจที่ผ่านไป 25 ปี ทุกอย่างกลับถดถอยลง เรากำลังอยู่ในโลกที่ประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรมกำลังถดถอย สิ่งเก่ากำลังล้มพังลง ขณะที่สิ่งใหม่ที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นยังไม่สำเร็จ โลกใบใหม่เต็มไปด้วยความปกติใหม่ แต่เรายังคงไม่มีฉันทามติใหม่สำหรับความปกติใหม่เสียที

นายพิธา กล่าวต่อไปว่า เมื่อหันกลับมาดูประเทศไทย ประชาธิปไตยของไทยวันนี้คือประชาธิปไตยที่เพียงแค่ สว. ที่มาจากการลากตั้ง ไม่มาเป็นองค์ประชุม ก็สามารถล้มแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนได้ คือประชาธิปไตยที่บอกว่าคนเท่ากัน แต่อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน กลับสามารถถูกคานโดยอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชนได้ มีองค์กรอิสระสามารถหยุดยั้งประชาธิปไตยได้ เสรีภาพในการแสดงออกในการกำหนดชีวิตตัวเอง แม้แต่ในการหายใจในการทำมาหากินที่ถดถอยลง

นายพิธา กล่าวต่อว่า นี่ยิ่งเป็นสาเหตุที่โลกและประเทศไทยต้องการคนรุ่นพวกคุณ ต้องการพลังงานอย่างพวกคุณ มากำหนดนิยามใหม่ให้กับประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรม เรียนรู้อดีต กำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นี่คือสิ่งที่พวกเราต้องช่วยกัน เป็นพลังงานของคนรุ่นใหม่ๆ ถึงเวลาต้องคิดใหญ่ โลกใบนี้กำลังต้องการคนรุ่นใหม่ รุ่นพวกคุณขึ้นมาช่วยพวกตนในการผลักสิ่งเก่าๆ ออกไป และนำสิ่งใหม่ๆ เข้ามา ช่วยกันนิยามความคิดประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเป็นธรรมในยุคของเรา

นายพิธา กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับคนธรรมศาสตร์ เราถูกสอนเสมอว่าที่นี่มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว สอนว่าฉันรักธรรมศาสตร์เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน สอนว่าเหลืองของเราคือธรรมประจำจิต แดงของเราคือโลหิตอุทิศให้ ถ้าย้อนกลับไปได้ สิ่งที่ตนอยากจะทำให้ดีกว่านี้คือการคิดให้ใหญ่ ตนขอฝากให้ทุกคน ได้ใช้เวลา 4 ปี ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด เรียนนอกห้องให้เหมือนในห้อง ฟังแต่ยังไม่ต้องเชื่อ อย่าให้ใครมาบอกว่าความสามารถของคุณมีแค่นี้ อย่าให้ใครมาบอกว่าคุณเป็นในสิ่งที่อยากเป็นไม่ได้ แม้แต่อาจารย์ของคุณ นี่คือความปกติใหม่ คุณต้องเชื่อว่าคุณสามารถเป็นในเส้นทางที่อยากเป็นได้ และสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกใบนี้ได้

“สิ่งที่ผมได้ติดมาจนถึงทุกวันนี้และจะไม่มีวันจากผมไป คือจิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ ที่มีความเป็นภราดรภาพ เสรีภาพ และความพร้อมทำทุกอย่างเพื่อประชาชน ให้นิยามของคำว่าประชาธิปไตยเต็มใบ ความยุติธรรมต่อหน้ากฎหมาย เสรีภาพในการกำหนดอนาคตของตัวเองและเพื่อนๆ ในประเทศและโลกใบเดียวกันนี้ ขอให้ 4 ปีของทุกคน เป็น 4 ปีที่กล้าฝันใหญ่ คิดใหญ่ คิดให้ออกนอกกรอบ อยู่เป็นโลกไม่เปลี่ยน ความอยู่ไม่เป็นคือวิญญาณของความเป็นธรรมศาสตร์เราทุกคน” นายพิธา กล่าว.