วันที่ 8 ส.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.2905/2563 ที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตที่ปรึกษากฎหมายพรรคเพื่อไทย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และคณะทำงานด้านกฎหมายพรรค (ขณะนั้น) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ จำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 มาตรา 90 และมาตรา 91

คำฟ้องโจทก์สรุปว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2561 จำเลยที่ 1 ได้ใส่ร้ายโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อสื่อมวลชนทางเว็บไซต์ www.thaipost. net (หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ออนไลน์) และทางเว็บไซต์ www.naewma. com (หนังสือพิมพ์แนวหน้าออนไลน์) ว่า กรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย ออกมาบิดเบือนข้อเท็จจริงคดีจำนำข้าว ว่า ไม่ได้เกิดความเสียหายจริง ขอให้รัฐบาลยุติการอายัดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ข้อมูลที่นายเรืองไกรกล่าวอ้าง ถือเป็นการบิดเบือนคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งสิ้น เป็นกระบวนการเดินเกมการเมือง เพื่อทำลายอำนาจตุลาการ ทำลายความน่าเชื่อถือของคำพิพากษาศาลฎีกาฯ เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองให้คนเข้าใจผิดว่า อำนาจตุลาการกลั่นแกล้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งที่ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาระบุชัดเจนถึงยอดขาดทุนจากโครงการจำนำข้าวทั้งโครงการปิดบัญชีครั้งที่ 1 ขาดทุน 32,301 ล้านบาท ปิดบัญชีครั้งที่ 2 ขาดทุน 220,968 ล้านบาท ปิดบัญชีครั้งที่ 3 ขาดทุน 332,372 บาท รวม 585,641 ล้านบาท

แต่นายเรืองไกร บิดเบือนว่าไม่มีความเสียหาย ถามว่าแล้วศาลพิพากษาได้อย่างไร โดยคำพิพากษาหน้าที่ 60 ระบุว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในรัฐบาลยิ่งลักษณ์เกิดปัญหาการทุจริตในขั้นตอนต่างๆ สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศกระทบต่องบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนมาก… และเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2561 จำเลยทั้งสองยังได้ให้สื่อมวลชนเผยแพร่ข่าวทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์และทางเว็บไซต์ต่างๆ ที่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้พิจารณากรณีนายเรืองไกร (โจทก์) กับเพจเฟซบุ๊ก “ชินวัตร แฟนคลับ” ได้เปิดประเด็น โครงการรับจำนำข้าวไม่ขาดทุนว่าเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาลหรือไม่

คดีนี้เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2565 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่านายเรืองไกร โจทก์ได้ยื่นหนังสือเรื่อง ขอให้กระทรวงการคลังตรวจสอบว่า ทำไมไม่มีตัวเลขผลขาดทุนจากการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวอยู่ในรายงานการเงินแผ่นดิน ณ วันที่ 30 ก.ย. 2557 และตัวเลขผลขาดทุนที่เคยมีในคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าวว่า ณ วันที่ 30 ก.ย. 2557 โครงการรับจำนำข้าวมีผลขาดทุนสะสม 536,908.30 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่เชื่อถือไม่ได้ใช่หรือไม่ และจะถือว่าเป็นการนำข้อมูลเท็จหรือข้อมูลที่ไม่จริงไปใช้ในการกล่าวหา นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือไม่ ต่อมาจำเลยที่ 1 ให้ข่าวต่อสื่อมวลชนดังกล่าว

เห็นว่า แม้ถ้อยคำที่จำเลยทั้งสองแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน อาจทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่นเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือถูกเกลียดชังได้ แต่เมื่อพิจารณาเอกสารหลักฐานแล้ว ปรากฎว่ามีข้อความที่กล่าวถึงคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในทำนองตั้งคำถามต่อข้อเท็จจริงในคำพิพากษาว่าเชื่อถือได้หรือไม่ และเป็นเท็จจริงหรือไม่ ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมทำให้จำเลยทั้งสองซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นคณะทำงานด้านกฎหมายเรื่องของการรับจำนำข้าวของพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น มีมูลเหตุให้เข้าใจว่าโจทก์อาจกระทำตามที่จำเลยทั้งสองให้ข่าวต่อสื่อมวลชน ประกอบกับการที่โจทก์เป็นบุคคลสาธารณะอยู่ในแวดวงการเมืองย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างกว้างขวางไม่ว่าในมิติของกฎหมายหรือศีลธรรม ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตหรือติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา คดีโจทก์จึงไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง

ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองมีเจตนาใส่ความด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ไม่ได้มีเจตนาวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความสุจริต มีปัญหาว่าคดีโจทก์มีมูลหรือไม่

ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้ว มีเหตุผลให้เชื่อว่า โจทก์ได้กระทำตามที่จำเลยทั้งสองให้ข่าวต่อสื่อมวลจริง ดังนั้นการที่จำเลยทั้งสองให้ข่าวต่อสื่อมวลชน โดยเสนอข้อมูลในคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าวที่ถูกต้องแท้จริง โดยตั้งข้อสงสัยพฤติกรรมของโจทก์ว่าเป็นการบิดเบือนคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่เท่านั้น ไม่ได้สร้างเรื่องขึ้นมาเอง แม้ข้อความบางส่วนเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ แต่ก็เป็นแสดงความคิดเห็น หรือข้อความโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (2) จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา คดีจึงไม่มีมูลความผิด อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นพิพากษายืนยกฟ้อง