จากกรณีเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้ตรวจสอบการกระทำของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เข้าข่ายเป็นการกระทำฐานฟอกเงินหรือไม่ หลังพบว่านายเรืองไกร มีการครอบครองรถเบนซ์หรู S 560 อ้างว่าเป็นของผู้ใหญ่ใจดี ซึ่งภายหลังเฉลยว่าเป็นของภรรยา และขอให้ตรวจสอบเรื่องแคชเชียร์เช็ค 25 ล้านบาทนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 ส.ค. ที่ ศูนย์ราชการฯ อาคารบี ชั้น 8 กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน นายภัทรพงศ์ เปิดเผยว่า วันนี้ตนมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ในกรณีที่ตนเคยมาร้องให้ตรวจสอบนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ มีพฤติการณ์ครอบครองรถหรู Mercedes Benz คันละประมาณ 3-5 ล้านบาท เป็นต้น ตนมองว่านายเรืองไกร อาจจะเข้าข่ายกระทำความผิด ฐานแจ้งความหรือให้การต่อทาง กกต. โดยเป็นเท็จ ผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งการกระทำความผิดฐานกฎหมายเลือกตั้งนั้น เป็นมูลฐานความผิดฟอกเงินได้ ตนจึงต้องการให้ดีเอสไอตรวจสอบ ทำให้การที่นายเรืองไกรครอบครองรถยนต์เบนซ์หรูน้้น ที่ตนและประชาชนมองว่าผิดปกติ ได้เข้าสู่กระบวนการของดีเอสไอในการสืบสวน และวันนี้ตนจะชี้ช่องทางให้ดีเอสไอ 2 ส่วนคือ ประการแรก การกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายการเลือกตั้ง ซึ่งมีเจ้าภาพใหญ่เป็น กกต. โดยตนจะให้ดีเอสไอดึงเรื่องจาก กกต. มาพิจารณาด้วย แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องนี้อาจจะต้องรอประเด็นการถือหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยด้วยหรือไม่ แต่วันที่ตนมายื่นคำร้อง ตนได้ยืนยันว่า ดีเอสไอไม่จำเป็นต้องรอในส่วนนี้ เพราะพฤติกรรมของนายเรืองไกร น่าจะเข้าข่ายความผิดแล้ว ส่วนประการที่สอง ตนจะชี้ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษไปตรวจสอบหรือประสานกับทาง ป.ป.ช. โดยเฉพาะกรณีที่นายวีระ สมความคิด เคยยื่นเรื่องรายการทรัพย์สิน และที่มาของทรัพย์สินของนายเรืองไกร เมื่อสองปีที่แล้ว ต่อ ป.ป.ช. ให้นำส่วนนี้มาประกอบการพิจารณาสืบสวนด้วย

นายภัทรพงศ์ เผยอีกว่า เชื่อว่าหลังจากที่ตนได้ให้ถ้อยคำวันนี้ และกระบวนการสืบสวนดำเนินการต่อเนื่อง จะทำให้นายเรืองไกรและภรรยา ในฐานะผู้ถูกร้อง หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ จะต้องเข้าให้ปากคำกับดีเอสไอ ส่วนการดำเนินการของดีเอสไอ หากมีการตั้งเป็นความผิด มีเลขคดีพิเศษ คาดว่าความผิดฐานฟอกเงินใดๆ ดีเอสไออาจจะส่งเรื่องให้ทาง ปปง. ดำเนินการตรวจสอบเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ตนขอให้มีความผิดในเรื่องของกฎหมายการเลือกตั้งก่อน ส่วนที่มาทรัพย์สินจะเป็นเรื่องรองตามมา ทั้งนี้ ตนขอฝากบอกนายเรืองไกร ให้รีบๆ ขับรถยนต์หรูด้วย เดี๋ยวจะไม่ได้ขับ

“อย่างไรก็ตาม ตนยังมองในแง่ร้ายที่สุด ด้วยการที่ดีเอสไอเรียกตนมายืนยันข้อเท็จจริง มีการนำชื่อตนเข้าสู่กระบวนการว่าตนแจ้งความเท็จ ซึ่งวันนี้ถือว่าตนเข้าสู่กระบวนการเป็นคุณเป็นโทษแล้ว หากท้ายที่สุด ตนมีความผิด อาจมีการเอาคนที่เกี่ยวข้องกับนายเรืองไกร หรือนักร้องเรียนฝ่ายตรงข้ามมาจัดการร้องทุกข์กับตนทีหลัง ตนไม่ได้กลัว แต่มันอาจไปสู่การอ้างว่า ตนมาแจ้งความเท็จได้ แต่ถึงอย่างไร หากนายพิธา จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หรือรัฐบาลชุดหน้าจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ตนเคยร้องเรียนไว้ตรวจสอบใครก็ตาม ตนไม่ถอยแน่นอน ไม่ว่าจะนายเรืองไกร นายศรีสุวรรณ หรือทนายตั้ม” นายภัทรพงศ์ หรือ ทนายอั๋น ระบุ

นายภัทรพงศ์ เผยต่อว่า ก่อนหน้านี้ ตนยังได้เคยยื่นเรื่องขอให้ดีเอสไอตรวจสอบกรณีของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ขณะนี้ทราบว่า ดีเอสไอได้ออกเลขลับเพื่อดำเนินการสืบสวนไว้แล้ว ส่วนรายละเอียด ตนจะมาแจ้งให้สื่อและสังคมทราบอีกครั้ง.