เมื่อวันที่ 10 ส.ค. นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สถานการณ์ชัดเจนขนาดนี้ ทำไมพรรคก้าวไกลยังไม่ประกาศจุดยืนเป็น “ฝ่ายค้าน” อย่างทระนงองอาจ พรรคก้าวไกลได้รับเลือกตั้ง 14.4 ล้านเสียง มี สส. 151 คน มาเป็นลำดับที่หนึ่ง พรรคก้าวไกลจึงต้องทำหน้าที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเสนอให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ตามอาณัติที่ประชาชนมอบหมายผ่านการเลือกตั้ง คณะแกนนำของพรรคก้าวไกล ได้ทำหน้าที่นี้อย่างสุดความสามารถ รวบรวมเสียงได้ 312 เสียง แต่ด้วยความผิดปกติของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้วุฒิสภาเลือกนายกรัฐมนตรี กระบวนการนิติสงคราม และการสมคบร่วมมือกันของชนชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจในระบบทั้งหมด ทำให้ พรรคก้าวไกลกลายเป็น “แกะดำ” ไม่สามารถเป็นแกนนำหรือร่วมรัฐบาลได้

นายปิยบุตร ระบุต่อว่า พูดง่ายๆ ก็คือ หากรัฐบาลหน้ามีพรรคก้าวไกล ย่อมไม่มีวันได้ “ใบอนุญาต” จัดตั้งรัฐบาล เสียงซุบซิบ ข้อความในการเจรจาในที่ลับ (ที่ไม่เคยเอามาบอกสาธารณชนในที่แจ้ง) สัญญาณและการแสดงออกของทุกพรรคการเมือง และ สว. หลายคน ทั้งหมดนี้ เป็นประจักษ์พยานอย่างชัดแจ้ง การแสดงออกของพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคอื่นๆ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า “ไม่มีก้าวไกล”

นายปิยบุตร ระบุต่ออีกว่า ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ ทั้งฝ่ายสนับสนุนพรรคก้าวไกล และฝ่ายไม่สนับสนุนพรรคก้าวไกล ต่างก็มองออกว่า พรรคก้าวไกลโดน “รุม” จากทุกสารทิศ จนหมดหนทางได้เป็นรัฐบาลแล้ว ประชาชนที่เลือกพรรคก้าวไกลมา หรือไม่ได้เลือกแต่อยากเห็นพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล ต่างก็ “เข้าใจ” อย่าง “ไม่เต็มใจ” ถึงสถานการณ์นี้ และยอมรับว่าพรรคก้าวไกลได้ทำหน้าที่ของตนเองถึงที่สุด พร้อมทั้งฉีกหน้ากากของชนชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจออกมาให้ได้รู้เห็นกันหมดแล้ว

นายปิยบุตร ระบุต่อไปว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพรรคก้าวไกลจึงไม่แถลงแสดงจุดยืนเสียทีว่า บัดนี้ พรรคก้าวไกลต้องเป็นฝ่ายค้าน และจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างดีที่สุด ใช้เสียง 151 เสียง ใช้เสียง 14.4 ล้าน ผลักดันการทำงานในสภาตามแนวนโยบายที่หาเสียง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน ไม่ต้องรับคำร้องขอ ไม่ต้องรับคำเจรจา ไม่ต้องหวังว่าจะมีแสงริบหรี่รำไรให้ได้กลับมาร่วมรัฐบาลอีก ไม่ต้องเล่นเกม “ชักเย่อ” ชิงไหวชิงพริบกับพรรคอื่นๆ

ตั้งใจเดินหน้าทำงานในสภาอย่างเต็มที่ ไม่ต้องยุ่งกับ “เกมการเมือง” ชิงไหวชิงพริบเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลของใครทั้งนั้น ปล่อยให้พวกเขาแย่ง “เศษเนื้อ/ชามข้าว” กันต่อไป ขีดเส้นแบ่งชัดเจนระหว่าง “เก่า-ใหม่” และ “อดีต-อนาคต” ต่อสู้ตามแนวทางของตนเองต่อไป นำภารกิจที่ประชาชนมอบหมายเดินหน้าผลักดันตามอำนาจ โอกาส ช่องทางที่พอจะมี พร้อมเผชิญหน้ากับภัยจากทุกสารทิศที่จะกระหน่ำเข้ามา

นายปิยบุตร ระบุต่อว่า หนทางนี้ พรรคก้าวไกล อาจไม่เหลือใคร แต่อย่างน้อยที่สุด ยังมีประชาชนผู้ดุจดังผนังทองแดงกำแพงเหล็ก พอได้แล้ว กับความคลุมเครือ พอได้แล้ว กับการปล่อยให้ สส. แสดงออกกันเอง โดยไม่มีมติพรรคหรือการแถลงการณ์ทางการของพรรค การเล่นบท “เหยื่อ” ผู้ถูกรุมกระทำ กระตุ้นให้ประชาชนเห็นใจและเข้าใจในบางช่วงตอน แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนจะเริ่มเบื่อ รำคาญ และรู้สึกว่าอ่อนแอ ไม่ชัด ไม่สู้ ไม่กล้าหาญ นายปิยบุตร ระบุต่อว่า กล้าที่จะยอมรับว่าสู้จนสุดทางแล้ว แต่พ่ายแพ้ในเกมนี้ กล้าที่จะยืนกับประชาชน และต่อสู้ต่อไปตามแนวทางของตน การเมืองแบบมวลชนเริ่มต้นแล้ว และจะเด่นชัดมากขึ้น ปล่อย “พวกอดีต” สู้ในเกมแบบเขาไป แล้ววันหนึ่ง พวกเขาจะถูกกวาดหมดจนตกกระดาน เราคือ “พวกอนาคต” ต้องเคียงข้างหรือนำมวลชนไปในเกมใหม่ เป็นผู้นำของพลังแบบใหม่ในสังคมไทย วันนี้ยังแพ้ แต่วันหน้าจะชนะ.