เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินทางมายื่นคำฟ้องเอาผิด นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย และนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ในข้อหาฟ้องเท็จ หมิ่นประมาท และละเมิด พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมเรียกค่าเสียหาย 9 หมื่นบาท กรณีที่นายเศรษฐา ส่งนายวิญญัติ มายื่นฟ้องที่ศาลอาญา เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กล่าวหากรณีหลีกเลี่ยงภาษีซื้อที่ดินย่านถนนสารสิน พร้อมขอให้ลบข้อความวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องกับการแสดงข้อมูลในครั้งนั้น และเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท

‘เศรษฐา’ ไม่ทนแล้วมอบทนายฟ้อง ‘ชูวิทย์’ หมิ่นประมาท กอบกู้ศักดิ์ศรี!

นายชูวิทย์ กล่าวว่า การที่มายื่นฟ้องนายเศรษฐา และนายวิญญัติ เพื่อให้ความจริงปรากฏต่อหน้าศาล เมื่อฟ้องมา ตนก็จะฟ้องกลับ เพราะเมื่อนายเศรษฐา ลงชื่อจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และในฐานะตนเป็นประชาชน ก็มีสิทธิตรวจสอบได้ทุกประการ ทั้งเรื่องที่ดินสารสิน 12 คน โอน 12 วัน และเรื่องที่ดินที่ทองหล่อซอย 12 ล่าสุดที่ตนแฉไป มั่นใจว่าการยื่นฟ้องในครั้งนี้ ศาลจะรับคำฟ้องแน่นอน เพราะหลักฐานที่มีมันชัดเจน อีกทั้งที่ผ่านมาตนเคยฟ้อง ทนายษิทรา และนายสันธนะ มาแล้ว ซึ่งศาลท่านก็รับฟ้องทั้งหมด

นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ตนจะไปยื่นฟ้องที่สภาทนายความ ให้ตรวจสอบมรรยาททนายความของนายวิญญัติ กรณีที่เปิดเผย พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามกฏหมายซึ่งตนมองว่า นายวิญญัติ อาจจะเล่นการเมืองเกินไปจนไม่รู้ข้อกฎหมาย ส่วนเงินที่ตนเรียกไปเพียง 9 หมื่นบาท นั้นมาจากจำนวนเงินวันละ 1 หมื่นบาท นับตั้งแต่ที่ นายวิญญัติ มายื่นฟ้องตนเมื่อวันที่ 7 ส.ค. จนถึงวันนี้เป็นจำนวน 9 วัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้อยากได้เงิน แต่ต้องการเพียงข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่ทางฝั่งนายเศรษฐา กลับเรียกเงินจากตนถึง 500 ล้านบาท

นายชูวิทย์ เปิดเผยว่า พรุ่งนี้ (17 ส.ค.) เวลา 10.00 น. จะเดินทางไป พบกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำข้อมูลหลักฐานไปให้และต้องการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งตัวละครที่เป็นแม่บ้าน เป็น รปภ. เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน และหน่วยงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง และนอมินีทุกคนมาสอบปากคำ เพื่อให้ความจริงกระจ่าง เพราะถือว่าพฤติกรรมของนายเศรษฐา เป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบหนึ่ง แต่เมื่อจะเป็นนายกรัฐมนตรี ตนก็ต้องนำมาตีแผ่ พรรคเพื่อไทยจะด่าว่าตนเตะลูกบอลเข้าขาใคร ตนไม่รับทราบ เพราะว่าพรรคเพื่อไทยมีแคนดิเดต อีก 2 คน ทันทีที่นายเศรษฐา เซ็นรับเป็นแคนดิเดตนายกฯ ตนต้องตรวจสอบได้ เพราะเป็นสิทธิของประชาชน

นายชูวิทย์ เรื่องที่มีการฟ้องร้องตน อย่าคิดว่าจะกลัว ในส่วนกรณีที่มีแม่บ้าน จ.มหาสารคาม ออกมาปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องการซื้อขายที่ดินดังกล่าวนั้น ก็จะต้องมีการเรียกสอบสวนเพื่อให้เห็นกระบวนการทั้งหมด และหลังจากนี้ตนจะเปิดเผยบริษัทของแสนสิริ ที่ทำการซื้อขายในลักษณะเดียวกับอีกบริษัท ที่ใช้รูปแบบในการซื้อขายและทิ้งบริษัทให้เป็นบริษัทร้าง โดยการไม่จ่าย ไม่ส่งงบการบัญชีเป็นเวลา 5 ปี ติดต่อกัน และนอกจากบริษัทดังกล่าว ยังมีบริษัทอื่นที่ทำแบบเดียวกันอีก ต่อไปคือจะเป็นบริษัทจากสารสิน ไปทองหล่อ และจากทองหล่อไปสุขุมวิท ซึ่งตรงนี้จะหนักกว่า เพราะมีการนำบริษัทต่างประเทศเข้ามาด้วย รวมทั้งที่อ่อนนุช ซึ่งเป็นที่ตั้งของแสนสิริ

เมื่อวานที่ตนแถลงข่าว ได้ขุดหลุมพราง และแสนสิริก็ตกหลุมพรางทันที โดยการแถลงข่าวตอบโต้ว่าไม่รู้เรื่อง ซึ่งจะมีประเด็นเรื่องสัญญาจำนอง เพราะในกรณีปกติ ถ้าแสนสิริจะซื้อที่ดิน ก็ควรจะซื้อตามขั้นตอนปกติ ไม่จำเป็นต้องทำสัญญาจำนอง ถือเป็นการครอบสัญญาจำนอง ด้วยสัญญาจะซื้อจะขาย ตนขอตั้งคำถามว่า ทำไมจึงไม่ซื้อที่ดินไปเลยที่เดียว แต่กลับต้องไปทำสัญญาจำนองก่อน นั่นเพราะว่ามีการจ่ายเงิน 1,000 ล้านให้กับนอมินี จากนั้นจึงไปซื้อที่ในราคา 535 ล้าน แล้วก็เก็บไว้ หลังจากนั้นก็ไปซื้ออีก 1,000 ล้าน เรื่องนี้แปลกหรือไม่ แต่ที่แสนสิริแถลงกลับไม่พูดเรื่องสัญญาจำนอง เพียงชี้แจงว่ามีการซื้อขายที่ดินในราคา 1.1 ล้านบาทต่อตารางวา ซึ่งอ้างว่าเป็นราคาที่เหมาะสม ตนก็ถามว่าแล้วเงินที่เจ้าของที่ดินเดิม หายไปไหน ในส่วนของแม่บ้าน และเจ้าหน้าที่ รปภ. วันนี้ออกมาปฏิเสธไม่รู้เรื่อง เท่ากับคุณจ่ายเงิน 1,000 ล้าน ให้กับแม่บ้านที่ไม่รู้เรื่อง มันแปลกหรือไม่ที่แม่บ้านถือหุ้น 99.9 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนที่ถือ 1 หุ้นคือ เจ้าหน้าที่ รปภ. ต่อมา รปภ.คนดังกล่าวขายหุ้นทิ้ง แล้วก็ให้ รปภ.อีกคนมาถือแทน สุดท้ายก็ทิ้งบริษัทโดยการไม่ส่งงบบัญชี 5 ปี หลังจากซื้อขาย

“คุณลองไปถามเจ้าของเดิมที่เป็นหมอโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ว่าเขาคุยกับใครในการขายที่ดิน คุยกับแม่บ้าน เจ้าหน้าที่ รปภ.หรืออย่างไร หรือคุยกับพี่สาวของใคร” ชูวิทย์ กล่าวและว่า นายเศรษฐา เป็นคนที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี การกระทำพฤติการณ์ซ่อนเร้นอำพรางเช่นนี้ พ่อค้าอย่างตนรู้ทัน การที่กล้ามาฟ้องตนก็ฟ้องกลับ ถือเป็นการแลกกันหมัดต่อหมัด แล้วตนจะลากนายเศรษฐามาด้วยหนังสือสัญญา และพยานที่เป็นแม่บ้านและพนักงานที่ดิน กรมสรรพากรอีกล้วนแต่เป็นพยานทั้งหมด ซึ่งบริษัทมหาชน ต้องมีธรรมาภิบาล การที่ให้แม่บ้านกับ รปภ.กู้ จำนวน 1,000 ล้าน ทำไมแสนสิริไม่ตอบเรื่องนี้ ที่ตนเองพูดเป็นประโยชน์ของแผ่นดิน ว่าถ้าเอาคนที่มีพฤติการณ์ซ่อนเร้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ย่อมเป็นอันตราย ที่โดนฟ้องตนเองไม่กลัว เพราะมีหลักฐานทุกชิ้น ไม่ได้พูดลอยๆ การตอบโต้ของแสนสิริ เหมือนกับถามม้า ตอบช้าง ไม่ตรงคำถาม หากนายเศรษฐายังได้รับการโหวตเป็นนายกฯ ก็เชื่อว่าอยู่ไม่ถึง 3 เดือน เพราะหลักฐานที่ตนเองเปิดเผยมากมายไปหมด เพราะไม่เคยซื้อที่ตรงกับเจ้าของ มีบริษัทตรงกลางไปตัดทอน และกลายเป็นบริษัทร้างในภายหลังทุกครั้ง

เมื่อถามว่า นายชูวิทย์ถือหุ้นของแสนสิริ ตั้งแต่ตอนไหน นายชูวิทย์ กล่าวว่า วันนี้ก็ยังถือหุ้นอยู่ ซื้อเข้าซื้อออกตลอด ตนเป็นนักเทรดหุ้น แสนสิริอยู่ในกระดานตลาดหลักทรัพย์ ซื้อมาขายไป แต่การซื้อขายหุ้นแบบนี้ ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติของวงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป เพราะถ้าเป็นเรื่องปกติผู้ถือหุ้นถูกโกงตาย

เมื่อถามถึงเรื่องหลักฐานที่จะเชื่อมโยงกับนายเศรษฐาโดยตรง นายชูวิทย์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นพฤติการณ์ของโจรทางเศรษฐกิจ ซึ่งซ่อนเร้นและไม่โปร่งใส ถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่มีให้แม่บ้านกับ รปภ. กู้เงินเป็น 1,000 ล้าน ถ้าจะเอาหลักฐานแบบว่านอนกอดกัน ตนหาให้ไม่ได้หรอก ส่วนที่ยื่นฟ้องในวันนี้ ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง เตรียมพยานหลักฐานจากกรมที่ดิน สรรพากร และจะให้เรียกรายงานการบัญชี รวมถึงเช็คที่สั่งจ่ายและการโอนเงิน หนังสือสัญญาและเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับที่ดิน และในการแถลงครั้งหน้า ตนก็จะแถลงถึงพฤติการณ์แบบนี้อย่างต่อเนื่อง คือ ที่ดินที่สุขุมวิท 12

เมื่อถามว่าหาก นายเศรษฐา โหวตไม่ผ่านนายกรัฐมนตรี ต่อไปจะคัดค้านแคนดิเดตอีก 2 คน หรือไม่ นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนไม่มีข้อมูลของแคนดิเดต 2 คนนั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาศาลรับสำนวนคำฟ้องดังกล่าว เพื่อการรอไต่สวนมูลฟ้อง ระบุเลขคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ2400/2566 นัดไต่ส่วนมูลฟ้อง วันที่ 30 ต.ค. 2566 เวลา 13.30 น.