เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 6 ก.ย. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อกำหนดกรอบการอภิปรายการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาในวันที่ 11 ก.ย.

ภายหลังการประชุมนายวันชัย สอนศิริ สว. ในฐานะเลขานุการ วิปวุฒิสภา กล่าวว่า คำแถลงนโยบายรัฐบาลชุดนี้ต่างจากนโยบายรัฐบาลชุดที่แล้ว เพราะมีความกระชับ สั้น เอาเนื้อหานโยบายทุกพรรคมาใส่ไว้ ไม่ได้พูดถึงรายละเอียดปลีกย่อยมาก ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ  ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปต่างๆ อะไรที่เป็นตัวบทกฎหมายอยู่แล้วถือว่าไปตามบทกฎหมาย รัฐธรรมนูญ และยุทธศาสตร์ชาติ แต่รายละเอียดจะทำอะไรบ้าง จะพูดกว้างๆ ไม่เขียนผูกมัดชัดเจนเกินไป พร้อมยืดหยุ่นปรับตัวให้เข้าสถานการณ์ รายละเอียดบางเรื่อง รัฐบาลต้องการให้มีการซักถาม และไปชี้แจงข้อซักถามในที่ประชุม อย่างเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญไม่บอกชัดเจน จะมีที่มา ส.ส.ร. อย่างไร หรือใช้ระยะเวลาแก้รัฐธรรมนูญเท่าใด แค่บอกว่าจะนำมาหารือทุกภาคส่วนและรีบดำเนินการ เพื่อให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ ส่วนกรอบเวลาการอภิปรายนั้น คาดว่าจะใช้เวลา 2 วัน แต่คงไม่ถึงขั้นเลิกตี 2-ตี 3 เหมือนที่ผ่านมา อยากให้เลิกแค่ 3 ทุ่ม เท่าที่ดู สว. ส่วนใหญ่ตื่นตัวที่จะอภิปรายกันจำนวนมาก ต้องการแสดงฝีมือ ต่างเตรียมข้อมูลและลับฝีปากกันเต็มที่

ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเมินว่า รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน จะอยู่ได้นานหรือไม่ นายวันชัย กล่าวว่า ต้องอยู่ให้ได้และอยู่ให้นาน ถ้าแตกกันก็แพ้ตั้งแต่ตอนนี้ รัฐบาลต้องตั้งใจทำงานให้มีผลงานมากที่สุด เพื่อลดข้อครหาและใช้ต่อสู้กับฝ่ายค้าน ถ้ายุบสภาเร็วก็เสร็จฝ่ายค้าน รัฐบาลก็รู้เรื่องนี้ดี อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปลายปีนี้บ้านเมืองจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เป็นความศิวิไลซ์ของประเทศ จะเกิดความรัก ความปรองดองมากขึ้นในสังคม ใครที่ติดหล่มเก่าๆ ดูแต่หนัง “แผลเก่า” ต้องเลิกดูได้แล้ว ตกยุค ต้องหันมาดูหนัง “มนต์รักสีชมพู” ที่อำนวยการสร้างโดยหลายฝ่าย มีผู้อำนวยการสร้าง ผู้แสดง ผู้กำกับประกอบกันหลายคน ตนก็เป็นส่วนแสดงนิดๆ เป็นตัวประกอบเล็กๆ เพื่อต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เป็นความหวังใหม่

“การที่นายเศรษฐามา ดวงดาวยังต้องย้ายหนี ราหูต้องไป มิเช่นนั้นประเทศจะมาถึงวันนี้ไม่ได้ ยุค คสช. จบไปตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. แล้ว  ใครถามเรื่องรัฐประหารถือว่าตกยุค ถ้าจะเกิดการปฏิวัติแสดงว่า รัฐบาลชุดนี้ทำให้เกิดขึ้นเอง เพราะบริหารประเทศไม่ดี โกงกิน ทุจริต สร้างความแตกแยก ไม่มีผลงาน หากเป็นเช่นนั้นไม่ต้องปฏิวัติ ประชาชนจะลุกไล่เอง แต่เหตุการณ์หลัง 22 ส.ค. ประเทศจะเกิดการเปลี่ยนแปลง มีมนต์รักสีชมพูเกิดขึ้น” นายวันชัย กล่าว

เมื่อถามว่า ดูแล้วหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ นายวันชัย กล่าวว่า ถ้าสร้างกันขนาดนี้ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีคนดู เจ๊งก็ไม่ควรสร้าง ไม่ได้แค่เทหมดหน้าตัก แต่ทุ่มทั้งชีวิตจิตใจ ทุ่มอนาคต จะเป็นหนังภาคสุดท้ายจบอย่างสวยงาม ทุกคนที่สู้กันมา 20 ปี นึกไม่ถึงว่าจะจบอย่างนี้

เมื่อถามว่า พลังของพรรคก้าวไกลและผู้สนับสนุนจะเป็นอย่างไร นายวันชัย กล่าวว่า พรรคก้าวไกลไม่ใช่ส่วนของความแตกแยก แต่เป็นเรื่องความเห็นต่างระหว่างวัย จำเป็นต้องมี ต่างจากคนอายุเท่ากันและทะเลาะกัน เช่น กลุ่มสีเสื้อต่างๆ ที่ถือเป็นความแตกแยก แต่หากสุดท้ายแล้วรัฐบาลทำผลงานดี ประชาชนยอมรับ ความเห็นต่างระหว่างวัยก็เป็นแค่ความเห็นเท่านั้น ไม่สามารถสร้างความแตกแยกได้ เสียงเห็นต่างจะเบาลง เสียงพรรคก้าวไกลก็จะเป็นเสียงไกลๆ ไม่กึกก้องเหมือนตอนเลือกตั้ง

เมื่อถามว่า จากคำแถลงนโยบายรัฐบาล มั่นใจได้อย่างไรว่าการทำงานของรัฐบาลจะไม่ซ้ำรอยปมปัญหาทุจริตเชิงนโยบายเหมือนสมัยนายทักษิณ ชินวัตร หรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายวันชัย กล่าวว่า บาดเจ็บลึกสาหัส 20 ปี มีคนบาดเจ็บ ล้มตาย ติดคุก มีคนหนีไปจากประเทศ หากไม่สำนึก ไม่เอาบทเรียนในอดีตมาใช้ แปลว่า ไม่ต้องผุดต้องเกิด เชื่อว่าความสาหัสจบแล้ว ไม่มีใครเอาเรื่องในอดีตทำให้เกิดปัญหา เพราะเจ็บทั้งตัว แตกแยกทั้งแผ่นดิน สร้างรอยร้าวลึกให้สังคม ไม่ควรมีอีก เท่าที่ทราบเหตุที่เกิดขึ้นในวันที่ 22 ส.ค. 66 คือปฐมบทของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ปัญหาจะจบไปจากประเทศไทย