เมื่อวันที่ 12 ก.ย. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หน.ชุด PCT 5 นำกำลังเจ้าหน้าที่สืบนครบาล  ร่วมกันจับกุม นายอภิชาติ ศรีโคตร หรือ “ผิงผิง” สาวประเภทสอง อายุ 22 ปี ในข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และอีก 2 หมายจับของศาลอาญาข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน พื้นที่ สน.สุทธิสาร และพื้นที่ สน.พญาไท) จับกุมได้ในพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ขณะกำลังหลบหนีออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมตรวจยึดของกลางบัตรประจำตัวประชาชน 6 ใบ (เป็นของบุคคลอื่น) รับว่าเป็นของบัญชีม้า , โทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง (ของตนเอง 2 เครื่อง , ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 4 เครื่อง) , เงินสด 25,000 บาท และยา Clonazepam จำนวน 3 แผง (ยาที่ใช้มอมเหยื่อ)


สืบเนื่องจากนายอภิชาติ หรือผิงผิง สาวประเภทสอง หลอกเหยื่อ ผ่านแอพพลิเคชั่นหาคู่ โดยออกอุบายสายเปย์ โพสต์ข้อความทำนอง “สาวสอง ใครร้อนเงินทักมา” เพื่อหวังมอมยาและรูดทรัพย์เหยื่อ เมื่อผู้เสียหายหลงติดกับจะนัดเจอ จากนั้นนายอภิชาติจะนำยา Clonazepam 3-10 เม็ดมาบดให้ละเอียด และเทใส่แก้วน้ำที่เตรียมไว้พร้อมกับใส่น้ำแข็งเปล่าให้เต็มแก้ว เพื่อปิดบังคราบผงยาที่นองอยู่ก้นแก้ว และจะชักชวนดื่มเบียร์ด้วยการเปย์เงินแบงค์พันให้เหยื่อ 


เมื่อยาดังกล่าวนั้นจะออกฤทธิ์รุนแรง ง่วงซึม มึนศีรษะ สับสน จดจำสิ่งต่างๆ ไม่ได้ เกือบทุกรายล้มพับไปในไม่กี่อึดใจ บางรายพยายามฝืนต้านฤทธิ์ยา นายอภิชาติจะยิ่งชอบ และจะทำร้ายร่างกายทั้งกระโดดถีบ ต่อยหน้า ตบหน้า ต่างๆนาๆ โดยที่เหยื่อไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ จนกว่าเหยื่อจะสลบไป จากนั้นจะลงมือกวาดทรัพย์สินของเหยื่อไปจนเกลี้ยง รายใดโชคร้ายขับรถมาก็จะถูกขโมยไปด้วย
โดยเหยื่อรายล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ก.ย. ที่ผ่านมาได้ลงมือก่อเหตุกับ ผู้เสียหายซึ่งเป็นชายหนุ่มรายหนึ่ง ที่โรงแรมชื่อดังในซอยศรีอยุธยา 12 แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ถูกขโมยทรัพย์สินเงินสด โทรศัพท์ และรถจักรยานยนต์บิ๊กไบท์ ของเหยื่อไป มูลค่าความเสียหายประมาณ 200,000 บาท โดยหลังก้อเหตุได้หลบหนีไปยังไร้ร่องรอย ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ติดตาม ผู้ต้องหารายนี้กว่า 2 เดือน กระทั่งชุดสืบสวนนครบาล ออกสะกดรอย ติดตามไปจับกุมได้ ริมชายแดนพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ขณะกำลังหลบหนีออกไปประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้จากการตรวจสอบภายในมือถือผู้ต้องหา พบว่ามีภาพรถจักรยานยนต์ของเหยื่อที่ก่อเหตุลักไป รวม 13 คัน


สอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อยู่ปอยเปต ประเทศกัมพูชาทำมาแล้วกว่า 3 ปี ในปัจจุบันตนได้เป็นมือขวาของชาวไต้หวันชื่อว่า เสี่ยว เฟ่ย เชียน ซึ่งเป็นเจ้าของคอลเซ็นเตอร์ 3 ตึกในปอยเปต ล่าสุดได้ทำหน้าที่เป็น HR และคอยจัดหาบัญชีม้าให้กับบอสชาวจีน และหลอกลวงคนไทยได้เงินประมาณล้านกว่าบาท แต่ตนได้ค่าคอมมิชชั่น 400,000 บาท ซึ่งเงินที่ได้มานำไปเล่นการพนันจนหมด 


จากนั้นจะคอยจัดหาบัญชีม้าให้กับหัวหน้า โดยจะเข้าๆออกๆกัมพูชาและประเทศไทยเป็นประจำ ซึ่งตนเองจะหาเวลาว่างจากการทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์เดือนละ 2-3 ครั้ง เพื่อเข้ากรุงเทพมาก่อเหตุลักษณะนี้  โดยจุดเริ่มต้นเกิดจากตนเองเคยถูกผู้ชายมามีเพศสัมพันธ์ด้วยแล้วโดนชายคนนั้นขโมยทรัพย์สินไประหว่างที่ตนเองหลับ เป็นเงินไปกว่า 80,000 บาท จึงแค้นมากวางแผนล่อลวงชายคนนั้นมาและได้ลองมอมยาแบบนี้เป็นครั้งแรก โดยใส่ยาไปทั้งหมด 10 เม็ด ทำให้เหยื่อล้มพับไปจากนั้นก็ขโมยของขโมยรถของชายคนนั้น เมื่อสำเร็จก็รู้สึกสนุก สะใจ จึงติดเป็นนิสัยและก่อเหตุต่อมาเรื่อยๆ โดยยาที่ตนได้มานั้นตนเองไปหาหมอแล้วจะบอกว่าต้องการยาตัวนี้ ถ้าหมอคนไหนไม่ยอมให้ก็จะแสดงละครบอกหมอว่าถ้าไม่ให้จะไปฆ่าตัวตาย หมอก็จะยอมให้ โดยให้ทีละ 20-30 แผง และที่เลือกวางยาในเบียร์แบบนี้เพราะว่าตนเคยลองใส่ในน้ำเปล่าแล้วมันจะขุ่นๆ ทำให้เหยื่อดูออกได้ง่าย

ส่วนรถที่ตนเองได้ขโมยมาจะนำไปขายให้กับขบวนการส่งรถออกนอกประเทศ โดยจะเก็บรถที่ขโมยมาไว้กับตัวเองไม่เกิน 2 ชั่วโมง ส่วนบัตรประชาชนที่ถูกตรวจค้นพบหลายๆใบนั้น ตนเองได้มาจากเหยื่อบ้าง และได้จากพวกเปิดบัญชีบ้าง เลยนำมาใช้ในการทำธุรกรรมต่างๆแทนชื่อของตนเองเพื่อปกปิดตัวเอง” นายอภิชาติ กล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ดำเนินคดีตามกฎหมาย


ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า ยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหา โดยจากการขยายผลการจับกุมในขณะนี้เราพบพยานหลักฐาน รถ จยยซึ่งต้องสงสัยว่าได้จากการก่อเหตุ กว่า 13 คัน และพบข้อมูลเหยื่อและผู้ที่กำลังจะตกเป็นเหยื่ออีกไม่ต่ำกว่า 10 ราย จึงขอประชาสัมพันธ์ถึงผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อคนร้ายรายนี้ ให้แจ้งมาที่เฟซบุ๊กเพจ สืบสวนนครบาล IDMB เรามีเจ้าหน้าที่ประสานงานตลอด 24 ชั่วโมง เราจะปกปิดข้อมูลของคุณเป็นความลับ และขอฝากเตือนไปยังเหล่าผู้ปกครองให้หมั่นเฝ้าระวังบุตรหลานที่ชื่นชอบการเล่นแอ็พพลิเคชั่นหาคู่ลักษณะนี้ ให้หลีกเลี่ยง เพื่อความปลอดภัยในชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของท่าน ในส่วนของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตอนนี้เราได้ข้อมูลสำคัญของขบวนการมามากพอสมควร ซึ่งจะมีการขยายผลต่อไปจนถึงที่สุด.