จากกรณีสะเทือนขวัญ นายธนัญชัย หรือ หน่อง หมั่นมาก คนสนิท กำนันนก หรือ นายประวีณ จันทร์คล้าย ก่อเหตุยิง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. จนเสียชีวิต โดยทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เดินเครื่องเรียกสอบปากคำ 25 ตำรวจ รวมถึงแขกที่ไปร่วมงานเลี้ยง

ขณะที่ล่าสุด พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้ลงนามคำสั่งให้โอนสำนวนคดีไปให้กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ​และดำเนินคดีกับตำรวจที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตาม ป.วิอาญามตรา 157 นั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 ก.ย. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวในรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ถึงกรณีมีคำสั่งจาก ผบ.ตร. โอนทุกคดีกำนันนก ไปที่ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. หรือ บิ๊กก้อง ว่า อย่างนี้ขอเรียนว่าการโอนคดีที่ประชาชนฟังแล้วงง ยันไม่มีอะไร ผบ.ตร. สั่งโอนคดีตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ ตนก็เข้าใจได้คือการโอนไปกองปราบปราม คือคดีของผู้ที่มีบทบาทในจังหวัด ถ้าไม่โอนไปกองปราบฯ ให้ตำรวจท้องที่ทำ เขารู้จักมักคุ้นกับคนนี้อยู่แล้ว และเวลาที่สั่งฟ้อง สำนวนจะไปที่อัยการกรุงเทพฯ ไม่ได้ไปอัยการจังหวัดนครปฐม ดังนั้นการโอนสำนวนปราศจากตำรวจท้องที่มายุ่งเกี่ยว แต่เมื่อโอนไปกองปราบฯ แล้ว อำนาจสอบสวนเป็นของกองปราบฯ แต่ทำไมต้องประชุมนครปฐม เพราะในคดีนี้ไม่มีสำนวนอะไรมาก แต่เราต้องใช้งานสืบสวนหนัก ตนเป็น รอง ผบ.ตร. ที่คุมงานสอบสวน ตนจึงเอาชุดสืบสวนช่วยกองปราบฯ ทำงาน

คดีของกำนันนก สิ่งสำคัญคือการขยายผล เพราะในที่เกิดเหตุมันเละไปหมดแล้ว เพราะตำรวจท้องที่ไม่ทำหน้าที่ ในคดีนี้เมื่อเอาสืบสวนเข้าไปขยายผลช่วยเสริมกองปราบปราม ในเรื่องไปช่วยทำสำนวนสอบสวน ดังนั้นเท่ากับว่าสำนวนกองปราบฯ โอนไปเฉพาะคดีกำนันนกที่สั่งยิง และเมื่อโอนสำนวนไปแล้ว ก็ต้องโอนคดีทุจริตของตำรวจไปด้วย ในส่วนตำรวจพนักงานสืบสวนของเราช่วยกองปราบฯ โดยทำรายงานสืบสวน โดยเราได้ทำส่งไปพนักสอบสวนกองปราบปรามไปหมดแล้ว เมื่อเราทำรายงานสืบสวนส่งไปแล้ว หน้าที่ในการแจ้งข้อหาก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนของกองปราบฯ

เมื่อถามว่า เท่าที่จำได้วันแรกการโอนคดีไปที่กองปราบฯ โอนเฉพาะคดีหลัก คือคดีกำนันนกสั่งฆ่าสารวัตรแบงค์ แต่คดีเกี่ยวเนื่องกัน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจละเว้น หรือต่างๆ ยังอยู่ในมือชุดสืบของรองโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีที่โอนไปคือคดีกำนันนก คือสั่งยิง คดีที่เกี่ยวพันต้องไปพร้อมกันกับคดีหลัก โอนตั้งแต่วันแรก พร้อมกับคดีหลัก

เมื่อถามว่า ตั้งแต่วันแรกถึงเมื่อวาน ภาพที่สังคมได้เห็น คือการทำงานชุดสืบภาค 7 ทำงานกับรองโจ๊กเท่านั้น ไม่ได้เห็นกองปราบฯ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ความจริงแล้วทางกองปราบฯ มีทีมสืบสวนทำงานร่วมกับเราทุกวัน มานั่งภาค 7 ทุกวัน วันนี้ในการทำงานรวดเร็ว ที่รวดเร็วอย่างนี้ ทีมกองปราบญ ชุดนี้ก็ทำงานร่วมกับตนอยู่แล้วรู้มือกันอยู่แล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ประชาชนก็อาจจะคิดว่าเอ๊ะ ทำไมแจ้งเลย ซึ่งการจะแจ้งจะต้องไปแจ้งกองบังคับกองปราบปราม เพราะเป็นสถานที่ที่โอนคดีไป

ถามว่า ถ้าโอนคดีตั้งแต่วันแรก แต่ทำไมถึงเพิ่งมาบอกเมื่อวาน สังคมก็คิดได้ว่าเบื้องบนสั่งให้ปล่อยมือแล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คืออย่างนี้การโอนๆ ไปตั้งแต่วันแรก แต่สังคมอาจจะยังไม่รู้ ว่า ผบ.ตร. ได้สั่งโอนตั้งแต่วันแรกแล้ว เพราะถ้าให้เจ้าหน้าที่ท้องที่ทำคดี การทำสำนวนอาจไม่เป็นธรรม

ถามว่า ตอนนี้มีคดีอยู่ในมือ ที่เชื่อมคดีนี้หรือไม่ รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า คดีที่ต้องทำต่อเรื่องภาษีอากร ฮั้วประมูล คดีความร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ ในส่วนนี้ตนนัดประชุมทั้งหมดทั้ง สตง. ป.ป.ท. ปปง .รวมถึงในส่วนกรมบัญชีกลาง กรมสรรพากร เรื่องนี้คดีกำนันนกพยานหลักฐานจบแล้ว คดีกำนันนกเป็นแค่ปลายเหตุ มันต้องไล่ถึงต้นเหตุคือการได้งานมา 7 พันกว่าล้าน ดังนั้นนี่คือสิ่งที่ต้องไล่บี้ทั้งหมด โดยร่วมกับตำรวจภาคที่ 7

เมื่อถามว่า บิ๊กก้อง บอกว่าจะไปลุยคดีฮั้ว รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ในส่วนของกองปราบปรามเขาทำได้ แต่ในเรื่องคดี คดีหลักของการทำคดี ถ้า ผบ.ตร. ไม่สั่ง พนักงานสอบสวนต้องรับผิดชอบ ซึ่งตนจะไปประชุมอังคารนี้ คดีฮั้วจะต้องประชุมบูรณาการหลายส่วน หากปล่อยให้ลูกน้องทำจะทำลำบาก ตนได้คุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว คดีนี้จึงจำเป็นต้องให้ผู้ใหญ่กำกับ เพราะไม่งั้นถ้าให้ลูกน้องทำจะยากลำบาก อันนี้จะมีความยากลำบาก

เมื่อถามว่า ทำไมผู้ใหญ่สะกิดแรงๆ ให้คนอื่นทำแทน เขาไม่ไว้ใจรองโจ๊กหรืออย่างไร หรือเขาคลางแคลงใจเกี่ยวกับคดีนี้ รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ไม่มีอะไร เมื่อวานเราคุยกันหมดแล้ว เพียงแต่เมื่อวานอาจไม่ทันใจสื่อ เอ๊ะทำไมไม่แจ้งตำรวจนครปฐม ในการแจ้งทางรองผู้บังคับการปราบปราม และ ผบ.ตร. โทรฯ มาหาตน การจะแจ้งข้อกล่าวหา ให้แจ้งกองบังคับการกองปราบปราม เมื่อวาน ผบ.ตร .โทรฯ สั่งตนแค่นี้ เราจึงหารือกัน ส่วนคดีอื่นก็ต้องทำต่อ อันนี้คดียิง สว.แบงค์ พยานหลักฐานมันจบแล้วไม่มีอะไรเหลือแล้ว เหลือแต่แจ้งข้อหาตัวตำรวจ สิ่งสำคัญที่งานช้างกว่านั้น คือการบูรณาการตรวจสอบทุกส่วน เพราะเป็นต้นเหตุ เรื่องนี้มันไม่ได้สะท้อนการสูญเสียตำรวจระดับสารวัตร แต่เป็นการสูญเสียความเชื่อมั่นของประชาชน

ต่อข้อถามอีกว่า เมื่อวานที่ผู้ใหญ่สะกิดแรงๆ ว่า รองโจ๊ก หยุดทำคดีได้แล้ว เพราะเกรงกันว่าจะตายกันเป็นเบือ คดีตำรวจทุจริตเอาแค่นี้จริงหรือไม่ รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า วันนี้เราก็ไม่ทราบว่าใครคิดอย่างไรบ้าง แต่หลักวันนี้ ที่ผ่านมาเราต้องทำหน้าที่อย่างตรงไปมา ใครถูกก็ต้องให้ความเป็นธรรม ผิดก็ต้องดำเนินคดี หากเราไปช่วยใคร สุดท้ายก็ต้องย้อนกลับมาหาตัวเอง องค์กรมันจะไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ

เมื่อถามว่าที่สะกิดเพราะบางคนมองว่า บิ๊กโจ๊ก มีใช้คดีทุจริตไปเล่นเด็กใครเพื่อการเมืองภายในองค์กร เขานินทากันเยอะ รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า วันนี้เราต้องเรียนว่า เรื่องทั้งหมดโดยเราไม่ตั้งใจจะให้เกิด แต่ว่าสิ่งสำคัญที่เห็น คือวิทยาศาสตร์ คือกล้องวงจรปิด เราจะรู้ว่าคำให้การตำรวจขัดแย้งทั้งหมดคือโกหกทั้งหมด คือเมื่อคำให้การขัดแย้งข้อเท็จจริง เราก็พิจารณาแบบง่ายๆ คือใครละเว้น ใครไม่จับกุม ใครจับก่อนเลย ใครบอกว่าช่วยก่อนเลย อันนี้พิจารณาง่าย เรื่องนี้การทำงานของตนไม่มีเคลือบแคลง ไม่มีวาระซ่อนเร้น ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ทำไมไม่แจ้งเมื่อวาน ผบ.ตร. บอกให้ไปแจ้งที่กองปราบปราม ซึ่งการทำคดีมีคนถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง แต่เราต้องยึดผลประโยชน์ของส่วนรวม.  

ขอบคุณข้อมูลจาก เจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์