เมื่อวันที่ 26 ก.ย.ภายหลังจากชุดสืบสวน ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ PCT ชุดที่ 4 ของพล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี หัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT 4 นำกำลังเข้าตรวจค้นภายในบ้านพักในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ภายในซอยวิภาวดี 60 ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวานที่ผ่านมา (25 ก.ย. 66) และสามารถจับผู้ต้องหาตามหมายจับซึ่งเป็นนายตำรวจที่ใกล้ชิดพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ 8 นาย รวมทั้งพลเรือนที่อยู่ในเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ได้แล้ว 9 คน

มีรายงานจากแหล่งข่าวพบว่า บ้านทั้ง 5 หลังในหมู่บ้านดังกล่าว ชื่อผู้ครอบครองเป็นของ ‘เฮียแต๋ม’ และภรรยา ซึ่งเป็นคนที่ทำธุรกิจอยู่ที่ จ.อุดรธานี ได้ซื้อบ้านทั้ง 5 หลังนี้ไว้ และให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พักอาศัย และไม่ได้เข้ามาดูแลบ้านทั้งหมดนี้มานานแล้วเฮียแต๋ม และภรรยา เป็นเจ้าของบริษัทขนส่งรายใหญ่ในจ.อุดรธานี โดยมีสาขาอยู่ในหลายจังหวัดใหญ่ๆ ทั่วประเทศ และมีความเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 7-8 ปี ที่ผ่านมา และมักจะต้อนรับคณะของนายตำรวจที่เดินทางไปราชการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมี่รายงานว่า ชื่อผู้ครอบครองบ้านทั้ง 5 หลัง พบว่าเป็นชื่อของ ‘เฮียแต๋ม’ จำนวน 3 หลัง ที่เป็นบ้านพักของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และที่ระบุว่าซื้อไว้ให้พ่ออยู่อีกหลัง และชื่อของภรรยาเฮียแต๋ม อีก 2 หลัง ที่ให้เป็นที่พักของนายตำรวจติดตาม ที่อยู่ห่างกันประมาณ 100 เมตร

นอกจากนั้น ยังปรากฎข้อมูลการจ่ายเงินค่าส่วนกลางของหมู่บ้านของบ้านทั้ง 5 หลัง ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 ถึงเดือนมิถุนายน 2567 โดย ‘เฮียแต๋ม’ เป็นคนโอนเงินเข้ามาจ่ายให้ โดยบ้านพักหลังที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พักอาศัยอยู่จ่ายค่าส่วนกลางเป็นเงินรวม 62,000 บาท ส่วนหลังอื่นหลังละ 26,000 – 27,000 บาท รวมค่าส่วนกลางทั้ง 5 หลัง เป็นเงินกว่า 142,000 บาท ส่วนการขอใช้ไฟฟ้าของบ้านทั้ง 5 หลัง พบว่าเป็นชื่อของ ‘เฮียแต๋ม’ เป็นผู้ขอใช้ไฟฟ้าทั้งหมดมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่จะออกหมายเรียกให้ ‘เฮียแต๋ม’ และภรรยา มาให้ข้อมูลถึงการครอบครองบ้านทั้ง 5 หลังในเร็วๆ นี้

มีรายงานด้วยว่า หลังจากนี้ ชุดสืบสวนจะตรวจสอบที่มาของเงินที่นำมาซื้อบ้านทั้ง 5 หลังนี้ ว่าเป็นเงินที่ได้มาอย่างถูกกฎหมายหรือไม่ และเหตุใดถึงต้องซื้อแล้วให้บุคคลอื่นมาพักอาศัยอยู่ทั้ง 5 หลัง พร้อมทั้งจะยื่นขอให้สำนักงาน ป.ป.ช. ตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สินของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่ามีการรับของเกิน 3,000 บาท จากบุคคลอื่นหรือไม่ ซึ่งหากจำเป็นต้องรับทรัพย์สินมูลค่าสูง ตามกฎหมายแล้วจะต้องแจ้งผู้บังคับบัญชาใน 30 วัน หากฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 60,000 บาท