จากกรณี มูลนิธิกระจกเงา ออกประกาศตามหา “น้องเอ” เด็กชายอายุ 14 ปี ที่หายออกจากบริเวณวัดบางโฉมศรี ต.ชีนํ้าร้าย อ.อินทร์บุรี จ. สิงห์บุรี เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา ภายหลังพบว่าเป็นฝีมือของ นายพัน อายุ 40 ปี อาชีพเก็บของเก่าขายในตัวเมืองสิงห์บุรี ที่หลอกว่าจะซื้อโทรศัพท์มือถือให้ก่อนพาตัวไป จนมีการออกหมายจับจากศาลจังหวัดสิงห์บุรี กระทั่งตำรวจสามารถติดตามจับกุมตัวไว้ได้ช่วงคืนที่ผ่านมาที่ จ.ปราจีนบุรี โดยพบว่าเด็กยังคงปลอดภัย ตามที่ปรากฏเหตุการณ์ไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. สภ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ได้ควบคุมตัว นายพัน มาคุมตัวไว้ยัง สภ.อินทร์บุรี เพื่อทำการสอบสวนตามขั้นตอนกฎหมาย โดยมีญาติของเด็กมารอดูตัวคนร้าย เพื่อซักถามเหตุผลที่จับตัวน้องไป ซึ่ง นายพัน ไม่ตอบโต้แต่อย่างใด ขณะที่ “น้องเอ” หลังจากช่วยไว้ได้ก็ถูกส่งตัวไปยัง บ้านพักเด็กของสำนักงานพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ จ.สิงห์บุรี ทันที อย่างไรก็ตามหลังจากเค้นสอบอยู่นาน นายพัน ให้การับสารภาพว่า เป็นคนหลอกเด็กไปกระทำชำเราจริง ทั้งยังข่มขู่ไม่ให้เด็กหนีอีกด้วย จึงถูกแจ้งข้อหาพรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ส่งตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ด้าน นายสพโชค แช่มใย อดีตกำนันตำบลชีน้ำร้าย หนึ่งในผู้ดูแลวัดโฉมศรี สถานที่เด็กพักอยู่ เปิดเผยว่า น้องเอ เป็นเด็กชาวเขา พ่อไปทำงานต่างประเทศ ส่วนแม่ไปทำงานอยู่ จ.ตาก ช่วงเกิดเหตุ เด็กถูกเอามีดจี้ข่มขู่ ทุบตี อีกทั้งกลับที่พักไม่ถูก ทำให้หลบหนีไปไหนไม่ได้ จนนายพัน พาตัวไปไว้ที่บ้านญาติที่ จ.ปราจีนบุรี ฝ่ายญาติของผู้ก่อเหตุก็บอกให้เอาเด็กไปคืน ซึ่งก็ไม่สนใจยังคงกักตัวเด็กไว้ พร้อมกับบอกว่า จะไม่ให้เห็นหน้าพ่อแม่เลย ขณะที่พ่อเด็กติดต่อ นายพัน ได้พยายามเจรจาแต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ไม่ยอม ตอนถูกจับ นายพัน กำลังเหมารถ 3 ล้อ จากก อ.บินทร์บุรี หนีไปยัง อ.ประจันตคาม ช่วงที่หนีได้หลายวัน เป็นเพราะเดินทางเวลากลางคืน ส่วนกลางวันจะไปแอบนอนตามป่า เพราะรู้ว่าตำรวจไล่ล่าตัวอยู่.