เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์การติดตามไล่ล่าตัว “เสี่ยแป้ง” หรือ นายเชาวลิต ทองด้วง นักโทษคดีอุกฉกรรจ์ หลบหนีออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 22 ต.ค. 66 ที่ผ่านมา การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดตรัง กำลังชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานศรีตรัง กำลังตำรวจชุดสืบสวนภูธรภาค 9 ยังคงมีการสับเปลี่ยนกำลังพลในทุกๆตอนเช้า โดยในวันนี้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกกันติดตามไล่ล่าตัว ทั้งบริเวณรอบชุมชนบ้านตระ เดินลาดตระเวนรอบเชิงเขา และเส้นทางที่จะไปทาง จ.สตูล ซึ่งยังคงมีการตรึงกำลังอยู่เช่นเดิม โดยไม่มีการปรับแผนการและไม่มีการลดหรือเพิ่มกำลังเพิ่มเติมแต่อย่างใด

ส่วนสถานการณ์สภาพอากาศในวันนี้ฝนได้ตกลงมาบ้างในบางส่วน แต่ไม่ได้ตกหนักเท่ากับช่วงหลายวันก่อน และมีท้องฟ้าเปิด ทำให้อุปสรรคปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่เท่าใดนัก ส่วนใหญ่จะประสบปัญหาเรื่องรถจักรยานยนต์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ขี่ขึ้นลงยังชุมชนบ้านตระนั้น พบว่า เสียหายเป็นจำนวนมาก เนื่องจากรถที่ใช้ปฏิบัติงานเป็นรถจักรยานยนต์แบบธรรมดา ไม่ได้เป็นรถที่ใช้สำหรับบุกป่าลุยภูเขา เจ้าหน้าที่ต้องประสานทางช่างเข้ามาซ่อมแซมเพื่อให้ภารกิจเดินหน้าต่อไปได้

เปลี่ยนแผนล่า! เร่งเคลียร์เทือกเขาบรรทัดหา “เสี่ยแป้ง” เชื่อหนีลงเขาเข้าหมู่บ้าน

ส่วนตัวของ “เสี่ยแป้ง” นั้นส่วนใหญ่มีการคาดการณ์ว่าน่าจะยังคงหลบหนีอยู่บนเทือกเขาบรรทัด โดยมีพรานป่าชำนาญเส้นทางคอยให้การช่วยเหลืออยู่ และในส่วนของ “พรานนก” และ “พรานปริก” ที่ได้หายตัวไปจากชุมชนบ้านตระนั้น ยังคงเป็นที่เฝ้าสังเกตของเจ้าหน้าที่ แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าจะมีการรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับหรือไม่

ขณะเดียวกัน นายวัลลภ ยศศิริ หรือโล้น อายุ 36 ปี หลังถูกตำรวจอาวุธครบมือกว่า 30 นาย บุกเข้าไปคุมตัวถึงขนำ หลังพบเบาะแสว่ารู้จักกับ “พรานนก” ที่หายตัวไปจากหมู่บ้านหลังเหตุปะทะบนเขาบรรทัด คาดพา “เสี่ยแป้ง นาโหนด” หลบหนีเข้าป่า ได้เปิดเผยถึงผลกระทบจากเหตุการณ์ในวันนั้นว่า ยังหวาดกลัวอยู่ และยังคิดว่าคงจะมีเจ้าหน้าที่มาปิดล้อมเหมือนเช่นวันนั้นอีก ภาพยังคงฝังตาอยู่ และตนยืนยันว่าไม่เคยส่งเสบียงให้ใคร ไม่ได้เป็นเด็กหรือลูกน้องใคร ส่วนเสี่ยแป้งตนก็ไม่เคยเห็น

ส่วนกับพรานนกยอมรับว่าเป็นเพื่อนกันจริง แม้จะพูดแบบนั้น แต่ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงสะกดรอยตามตนอยู่ตลอด ไม่ว่าตนจะไปไหน ยอมรับหวาดระแวง ใช้ชีวิตยากขึ้น อึดอัดใจ แม้แต่จะเดินทางลงมาซื้อข้าวสารด้านล่าง เจ้าหน้าที่ก็จำกัดให้ซื้อแค่ครั้งละ 3 กิโลกรัมเท่านั้น แต่ถามว่ากินวันเดียวก็หมดแล้ว เพราะครอบครัวตนอยู่กันเกือบ 10 ชีวิต และจะต้องขับรถลงมาซื้อทุกวัน และใครจะให้ค่าน้ำมันรถตน เพราะทุกๆครั้งตนจะซื้อข้าวสารไปตุนไว้ครั้งละหลายกิโลกรัม เพราะเส้นทางขึ้นลงบ้านตระนั้นยากลำบาก.