จากกรณีที่มีคลิป แป้ง นาโหนด ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อวานนี้ ในคลิปมีการตัดพ้อถึงการที่เจ้าตัวไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกหักหลังจากกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง เป็นเหตุผลที่ได้วางแผนหนีจากเรือนจำ โดยแป้งอ้างว่า ต้องการออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเองและนักโทษกว่า 393 ราย
ต้นเรื่อง

เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ผู้สื่อข่าวได้วิดีโอคอลพูดคุยกับ พ.ต.ท.วีระศักดิ์ คงเพชร อดีต ผบ.ร้อย ตชด.434 พัทลุง ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่ตำรวจชุดจับกุมนาย จ. เมื่อ 2 ก.ค. 62 ติดต่อขอกำลังเสริม หลังถูกกลุ่ม “เสี่ยแป้ง นาโหนด” และพวกกว่า 20 คน วางแผนปล้นชิงตัวประกัน

พ.ต.ท.วีระศักดิ์ เล่าให้ฟังว่า วันที่เสี่ยแป้ง พร้อมพวกกว่า 20 คน บุกเข้ามาชิงตัวนาย จ. นั้น สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการจับกุม นายอัตชัย เลื่อนแป้น เครือข่ายยาเสพติดได้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก่อนมีการขยายผล โดยได้ข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือของนายอัตชัย ว่า หัวหน้าใหญ่เจ้าของยาเสพติด คือ นายต้น ฉายา “ต้น พม่า” ซึ่งข้อมูลแชตการสนทนาระหว่างนายอัตชัย กับ นายต้น นั้น มีการระบุชื่อและข้อมูลผู้รับยาเสพติด โดยมีคนสนิทของ “อัยการ” เป็นคนรับยาบ้าไป

จากข้อมูลแชต คือ นายต้น เจ้าของยาบ้า มีการซื้อขายยาบ้ากับนาย จ. โดยนำยาบ้าไปให้จำนวน 17 เป้ รวม 850 มัด คิดยาบ้ามัดละ 15,600 บาท รวมเป็นเงิน 13,260,000 บาท ในบิลระบุ มีการจ่ายเงินไปแล้ว 2.9 ล้าน ค้างจ่ายอยู่อีก 10,360,000 บาท โดยนายต้น ได้ใช้ให้นายอัตชัย มีหน้าที่ไปทวงเงินค่ายาบ้าในส่วนที่เหลือ

จากนั้นเมื่อจับกุมนายอัตชัยได้ ตำรวจจึงได้ติดต่อไปถึงนายต้น เจ้าของยาบ้าตัวจริง เพื่อขยายผลจับกุมต่อ ซึ่งทีมข่าวยังได้คลิปเสียงการสนทนาระหว่าง นายต้น กับ เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย โดยในคลิปเสียง นายต้นได้ให้เบาะแสว่า คนที่นำยาบ้าไปนั้น คือ นาย จ. โดยนำยาบ้าไปทั้งหมด 850 มัด

ต่อมาเมื่อตำรวจได้ข้อมูลจากนายอัตชัย และนายต้น เจ้าของยาบ้าแล้ว จึงได้ทำการขยายผลไปจับกุมนาย จ. ที่บ้านพักที่ จ.พัทลุง โดยนำตัวนายอัตชัย ขึ้นรถไปด้วย เพื่อชี้พิกัดบ้าน จากนั้นเมื่อไปถึงบ้านนาย จ. เจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวเข้าจับกุม โดยมีการถ่ายภาพ และบันทึกเสียงไว้เป็นหลักฐาน

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนาย จ. และ นายอัตชัย นำไปขยายผล โดยให้นาย จ. โทรศัพท์ติดต่อไปยังเครือข่ายที่ได้นำยาเสพติดไปฝากไว้นำมาส่งคืน เพื่อแลกกับการปล่อยตัวและไม่โดนดำเนินคดี

ต่อมา นาย จ. จึงได้โทรศัพท์ไปยังบุคคลรายหนึ่งที่อ้างว่าเป็นลูกพี่ ทราบภายหลังว่า คือ “อัยการ” เพื่อให้ลูกน้องนำของกลางที่เป็นยาเสพติดคงเหลือมาให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ อ้างว่า เจ้าของยาบ้า เขามาทวงยาบ้าคืน เพราะจ่ายเงินไม่ครบ ขณะนั้นตำรวจมีการถ่ายคลิปมือถือ และบันทึกการสนทนาไว้ทั้งหมด และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ยังได้โทรศัพท์หาตนเองว่า หากยาบ้ามาถึงแล้ว จะขอกำลังเสริมบุกเข้ารวบตัวเครือข่ายที่นำยาบ้ามาส่งทันที

สั่งเร่งส่งสำนวน ‘อัยการ’ ถูกเสี่ยแป้งพาดพิง วิเคราะห์สั่งฟ้องชอบหรือไม่

กระทั่งผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง นาย จ. พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้มีการนัดหมายกันในพื้นที่ ต.นาขยาด อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุในตอนนั้น เมื่อถึงเวลานัดหมาย ปรากฏว่า ได้มีรถปริศนา รถตู้ จำนวน 1 คัน และรถกระบะสีดำอีก 2 คัน ได้ขับรถมาประกบหน้า-หลัง รถของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม

จากนั้นได้มีชายฉกรรจ์เกือบ 20 คน ทุกคนใส่หมวกไอ้โม่งถืออาวุธปืนลงจากรถ และแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ บอกให้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมหยุด อย่าขยับ พร้อมกับอ้างว่า เป็นตำรวจจับยาเสพติด ทำให้ตอนนั้น ตำรวจชุดจับกุม ตกใจและงงมากกว่า เป็นตำรวจชุดไหนและแสดงตัวเป็นตำรวจเช่นกัน

ก่อนที่ตอนนั้น มีชายคนหนึ่ง ภายหลังทราบว่า คือเสี่ยแป้ง หัวหน้าที่บุกมาชิงตัวประกัน ถามตำรวจว่า “อ่าว เป็นตำรวจจริงๆ เหรอ ไหนเอาบัตรตำรวจมาดู” เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงแสดงบัตรให้ดู เสี่ยแป้งตอนนั้น จึงได้พูดกลางวงที่ชิงตัวประกัน โดยต่อว่า นาย จ. ว่า “ไหนลูกพี่มึง บอกว่า เป็นโจรมาชิงตัวมึงไป อัยการบอกว่า โจรจับมึงไปไอ จ. ถ้ากูรู้ว่าเป็นตำรวจกูไม่มาหรอก ทำไมหลอกกูแบบนี้“ ตอนนั้น นาย จ. ซึ่งหนีลงจากรถเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมแล้ว ได้เข้ามาอยู่ฝั่งพวกเสี่ยแป้งที่มาช่วย

ระหว่างนั้น นาย จ. ที่ได้เข้าไปแย่งปืนเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมและจะยิงตำรวจชุดจับกุม แต่ถูกเสี่ยแป้ง ได้ห้ามไว้ โดยเจ้าหน้าที่ได้ยินเสี่ยแป้ง บอกกับ นาย จ. ว่า “มึงอย่ายิงตำรวจ ถ้ามึงยิง มึงมีเรื่องกับกูแน่ เขาเป็นตำรวจจริง“ แต่ตอนนั้น นาย จ. ไม่ฟัง และได้ยิงใส่เจ้าหน้าที่ 1 คนได้รับบาดเจ็บที่บริเวณขา โดยเสี่ยแป้ง ไม่ใช่คนยิง ก่อนที่ เสี่ยแป้ง และพวก จะหลบหนีไป ส่วน นาย จ. และอัตชัย ก็ได้ขึ้นรถพวกเสี่ยแป้งไปอีกคัน โดยก่อนจะหลบหนี นาย จ. ได้นำโทรศัพท์มือถือของตัวเอง และมือถือที่ตำรวจบันทึกการจับกุมเอาไปด้วยทั้งหมด

ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมด้วยความตกใจและกังวล ไม่กล้าที่จะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในพื้นที่จังหวัดพัทลุง ทำได้เพียงเข้าไปปฐมพยาบาลที่โรงพยาบาลควนขนุน ก่อนย้ายไปพักที่โรงพยาบาลจังหวัดกระบี่

และหลังเกิดเรื่องขึ้น ช่วงเช้าของอีกวันทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้โทรศัพท์ติดต่อมายังตนเองเพื่อขอกำลังเสริมไปคุ้มกันเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม เพื่อเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.นาขยาด จากนั้น จึงได้ทราบเรื่องทั้งหมดจากชุดจับกุมว่า กลุ่มคนที่มาชิงตัวนาย จ. และนายอัตชัยไป คือ เสี่ยแป้ง

หลังจากรู้ว่าเป็น เสี่ยแป้ง ตนเองจึงได้โทรศัพท์ไปหาเสี่ยแป้ง เพื่อสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ทำไมเสี่ยแป้ง ทำแบบนี้ เสี่ยแป้งจึงบอกกับตนเองว่า เจ้าตัวไม่ทราบว่า บุคคลที่จับกุมนาย จ. ไปคือตำรวจ เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง เสี่ยแป้งได้รับโทรศัพท์จากคนที่ชื่อ ”อัยการ“ และพ่อของนาย จ.

ซึ่งได้ติดต่อเสี่ยแป้งมาขอความช่วยเหลือ อ้างว่า นาย จ. โดนกลุ่มรีดไถเกี่ยวกับกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดอุ้มไป อัยการจึงได้โทรศัพท์ให้เสี่ยแป้ง พร้อมทีมงานเข้าไปช่วยเหลือ โดยที่ไม่ได้มีการบอกความจริงว่า นาย จ. ถูกตำรวจจับกุม เนื่องจากการขยายผลเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด

ตนเองจึงได้บอกให้เสี่ยแป้ง นำอาวุธปืนที่พรรคพวกปล้นตำรวจไปนำมาคืน ตอนนั้นเสี่ยแป้ง บอกว่า ผมไม่ได้เอาปืนไป แต่คนที่นำปืนตำรวจไป คือ นาย จ. , พ่อของนาย จ. และ จ่าติ๊ก รวม 3 กระบอก แต่ขณะนั้น เสี่ยแป้ง ได้ขอเวลาตนเอง 2 วัน เพื่อนำปืนมาคืน จนกระทั่งผ่านไป 2 วัน เสี่ยแป้งก็ได้นำปืนทั้งหมดมาคืนให้กับตนเอง เพื่อส่งมอบให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยให้ลูกน้องเป็นคนนำใส่ถุงมาให้

ก่อนที่เสี่ยแป้ง และพวกทั้งหมดจะถูกจับกุมภายหลัง และมีการตั้งข้อหากับเสี่ยแป้ง และพวก แต่ต่อมา ตนเองไม่รู้ว่า กระบวนการแจ้งข้อหาเกิดอะไรขึ้น กลุ่มที่มีการเข้าไปชิงตัวประกัน กลับไม่มีใครโดนคดี และบางรายสามารถประกันตัวออกมาได้ แต่กลับดำเนินคดีและคัดค้านการประกันตัวเสี่ยแป้งเพียงคนเดียว

ส่วนข้อครหาที่ว่า ตำรวจภาค 8 และกลุ่มพวกตนเอง มีการจับกุมนาย จ. พ่อค้ายาเสพติดไปเรียกค่าไถ่ เสนอเงิน 3 ล้านบาท ยืนยัน ไม่เป็นเรื่องจริง แต่ยอมรับว่า ระหว่างจับกุม นาย จ. ได้เสนอเงินเป็นค่าดูแลตำรวจ เพื่อแลกการปล่อยตัวจริง ตอนนั้น ตำรวจได้แกล้งรับปากไปเท่านั้น เพื่อให้ นาย จ. ทำตามคำสั่งนำยาบ้ามาให้ได้ ซึ่งไม่มีการรับเงินเพื่อเรียกค่าไถ่แต่อย่างใด

ส่วนการที่เสี่ยแป้ง หลบหนีและระบายออกมาในคลิปดังกล่าวนั้น ตนเองซึ่งเป็นคนที่รู้เหตุการณ์และรู้เรื่องราวก่อนหน้านี้ ยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ซึ่งตนก็ยังคงมีหลักฐานบางส่วนที่ยังเก็บไว้ มองการออกมาให้สัมภาษณ์ของนาย จ. ที่อ้างว่า ตำรวจมีการรีดไถเงิน จึงทำให้ต้องมีการชิงตัวนั้น ไม่เป็นความจริง

เพราะเรื่องราวทั้งหมดมาจากที่ นาย จ. ไปเบี้ยวค่ายาเสพติดจากทางกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดระดับสูงในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน มองสิ่งที่เกิดขึ้นทางครอบครัวนาย จ. รวมไปถึงอัยการ และบุคคลอื่นๆ น่าจะมีส่วนรู้เห็นและร่วมกันวางแผน ก่อนที่จะมาหลอกเสี่ยแป้งให้เข้าไปช่วย สอดคล้องกับที่เสี่ยแป้งเองได้ให้ข้อมูลกับตนเองว่า บุคคลที่ทางเสี่ยแป้งเชื่อและไว้วางใจจะมีเพียงไม่กี่คน หนึ่งในนั้น คือ อัยการ และพ่อของ นาย จ.

เชื่อว่า การออกมาของเสี่ยแป้งเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง น่าจะเกิดมาจากตัวเสี่ยแป้งถูกตั้งข้อหาและโดนจับกุม ทั้งๆที่เสี่ยแป้งไม่ได้เป็นคนทำ และไม่ได้เป็นคนยิงตำรวจ แถมยังห้าม นาย จ. ไม่ให้ทำร้ายร่างกายตำรวจด้วย เหตุการณ์วันนั้นถ้าหากอัยการไม่ได้เป็นคนสั่ง หรือขอให้ช่วยเหลือ เสี่ยแป้งเองก็คงนิ่งเฉยและไม่กล้าที่จะเข้าไปช่วยอยู่แล้ว หากรู้ว่า เป็นตำรวจจริง.