ปัญหาของหนี้นอกระบบ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานาน และยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและเกิดผล ไม่ว่าจะกี่รัฐบาลพยายามเข้าแก้ไขปัญหาระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ แต่สุดท้ายก็ยังคว้าน้ำเหลว ไม่อาจทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นหมดไปได้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาหนี้ได้ดีที่สุด คงหนีไม่พ้นการเพิ่มรายได้ แต่จะทำอย่างไร คงเป็นโจทย์ให้รัฐบาลเศรษฐาต่อไป

ทางด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ “นายปิติ ดิษยทัต” ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและหนี้ในระบบ และยกให้แก้หนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาตินั้น

ในส่วนของ ธปท. การแก้ไขปัญหาหนี้ภาพรวมช่วงที่ผ่านมามีการแลกเปลี่ยนความเห็นและหารือกับกระทรวงการคลังเป็นปกติ ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาหนี้ต่างๆ ขึ้นอยู่กับนโยบายภาครัฐในระยะข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไร และว่าอะไรเหมาะสมที่สุด แต่ในเรื่องนี้ ธปท. จะมีส่วนช่วยกับนโยบายหลังจากที่มาตรการได้ออกมาแล้ว

ขณะที่ “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ระบุว่า ในการแถลงข่าวแนวทางการแก้หนี้นอกระบบ เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2566 รัฐบาลได้มีการประกาศให้ “การแก้ไขหนี้นอกระบบ” เป็นวาระชาติ โดยมีการประเมินว่า หนี้นอกระบบของไทยอาจมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท ซึ่งในการแก้หนี้นอกระบบนั้น ภาครัฐจะมีการปรับกระบวนการทำงานของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำฐานข้อมูลกลางและระบบที่สามารถติดตามผลได้ รวมถึงจะมีการใช้โครงการสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเข้ามาเสริมสภาพคล่องให้กับลูกหนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นภาพสะท้อนของปมปัญหาที่ซับซ้อนทางด้านสังคม คุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของภาคครัวเรือน เพราะโดยทั่วไป ลูกหนี้ที่มีการกู้ยืมจากแหล่งเงินนอกระบบนั้น มักจะถูกคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า 15% ที่กฎหมายกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 และอาจต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงจากการทวงหนี้ของเจ้าหนี้

ดังนั้น หากมองจากมุมของลูกหนี้แล้ว การกู้ยืมนอกระบบน่าจะเป็นทางเลือกสุดท้ายในการหมุนสภาพคล่อง หลังจากที่ลูกหนี้ได้พยายามใช้วิธีอื่นๆ มาแล้ว 

เป้าหมายสำคัญของการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ คือ การทำให้หนี้นอกระบบกลับเข้ามาอยู่ในระบบ ซึ่งเมื่อสามารถช่วยประชาชนกลุ่มที่พึ่งพาหนี้นอกระบบ ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ดีขึ้นแล้ว ผลได้ที่ชัดเจนที่สุดที่ลูกหนี้จะได้รับ ก็น่าจะเป็น ภาระดอกเบี้ยที่ลดลง ซึ่งก็จะทำให้ครัวเรือนปลดภาระหนี้ก้อนนั้นได้เร็วขึ้น

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปทบทวน “มาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน” ของ ธปท. ที่มีการเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ ก็ได้มีการเตรียมหลักเกณฑ์เพื่อดูแลและช่วยในเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มลูกหนี้นอกระบบด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ Risk-based pricing (RBP) สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ที่จะเริ่มเปิดรับผู้สมัครเข้าร่วมทดสอบใน Sandbox ในช่วงไตรมาสที่ 2/2567

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การใช้หลักเกณฑ์ RBP สำหรับสินเชื่อทั้ง 2 ประเภท จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผู้ปล่อยกู้ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามความเสี่ยงของลูกหนี้ ซึ่งหากในอนาคตมีผู้ประกอบการที่ผ่านเกณฑ์การทดสอบออกจาก Sandbox ได้มากขึ้น ก็น่าจะช่วยเสริมโอกาสให้ลูกหนี้นอกระบบสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ ประเด็นสำคัญของแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของภาครัฐ จะอยู่ที่กระบวนการตรวจสอบและยืนยันสถานะของทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ รวมไปถึงการจูงใจให้เจ้าหนี้มาร่วมแก้ปัญหาให้กับลูกหนี้ โดยหากการติดตามเจ้าหนี้มีความล่าช้า ก็อาจต้องมีการพิจารณาต่อว่าจะดำเนินการเพิ่มเติมอย่างไร โดยเฉพาะในประเด็นการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อนำไปปิดหนี้นอกระบบ แต่หากกระบวนการสามารถเดินหน้าต่อได้ ก็จะทำให้ระดับหนี้ครัวเรือนในระบบปรับเพิ่มขึ้นตามยอดการปล่อยสินเชื่อในส่วนดังกล่าว

การแก้ไขปัญหาหนี้สินของครัวเรือนให้ได้อย่างยั่งยืน คงต้องย้อนกลับไปดูแลปัญหาที่ต้นตอในระดับครัวเรือน โดยเฉพาะในด้านรายได้ ความรู้และวินัยทางการเงิน รวมถึงคงต้องดำเนินการเพิ่มเติมในอีกหลายๆ ส่วน โดยเฉพาะหนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระบบ

“แต่อย่าลืมว่าบางปัญหาของหนี้นอกระบบ อาจไม่ได้อยู่ที่เจ้าหนี้เสมอไป ถ้ามองอีกมุมลูกหนี้ ก็ยากที่จะอยากเข้ามาแก้ ถึงแม้จะมีสินเชื่อในระบบจากธนาคารเพื่อนำไปปิดหนี้นอกระบบ แต่สุดท้ายลูกหนี้ก็วนกลับไปหาหนี้นอกระบบด้วยอยู่ดี และคงกลับไปทำแบบเดิมซ้ำๆ ถ้าทุกวันนี้กระบวนการขอสินเชื่อจากธนาคารยังคงยุ่งยาก เอกสารเยอะ ไม่สามารถเคาะประตูบ้านเพื่อขอยืมเงินได้ในทันที ก็ต้องบอกว่าหนี้ในระบบก็ยังแพ้หนี้นอกระบบอยู่ดี!”

(ที่มาข้อมูล : ธปท., ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)