เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ความคืบหน้ากรณี เสี่ยแป้ง นาโหนด หรือ นายเชาวลิต ทองด้วง หลบหนี ที่ตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง กลุ่มผู้สื่อข่าวยังคงปักหลักรายงานข่าวกันอย่างมากมาย แต่ไม่สามารถขึ้นไปบนชั้น 3 ได้ เนื่องจากถูกขอร้องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่เวรยามอยู่ชั้นล่าง แต่แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือเผยว่า พ่อของนาย จ. ได้เดินทางเข้ามาให้ปากคำต่อตำรวจตั้งแต่เช้าแล้ว ส่วน อัยการ บ. คาดว่าน่าจะเข้าให้ปากคำต่อสำนักงานจเรตำรวจในกรุงเทพฯ เนื่องจากเจ้าตัวได้มีคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนกลางแล้ว

ในส่วนสารวัตรกำนัน ต.วังใหม่ อ.ป่าบอน จ.พัทลุง ซึ่งเป็น 1 ใน 5 กลุ่มผู้ต้องหาที่เข้ามอบตัวภายหลัง นายอำเภอป่าบอน จ.พัทลุง เผยว่า ในขณะนี้ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด เพื่อเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อมิให้ภาพลักษณ์ของฝ่ายปกครองใน อ.ป่าบอน ได้รับความเสียหาย

ด้าน ทนายชัช หรือ ว่าที่ ร.ต.ชัชวาลย์ บำรุงวงค์ อายุ 52 ปี ทนายกลุ่มทนายใจดี ได้เดินทางมายังบ้านของ นายกษิดิ์ชาติ ทองด้วง พี่ชายของเสี่ยแป้ง ภายหลังที่ทางเจ้าตัวได้รับเรื่องร้องทุกข์จากทางญาติของเสี่ยแป้งในเรื่องของผลกระทบจากการเข้าบุกตรวจค้นบ้านและมีการจับกุมแจ้งข้อหาในการช่วยเหลือเสี่ยแป้งไปก่อนหน้านี้ ซึ่งทางครอบครัวของนายกษิดิ์ชาติ ได้เน้นย้ำกับสื่อมาโดยตลอดว่า ที่ผ่านมาแม้ว่าทางเจ้าตัวจะให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยในส่วนของขั้นตอนกระบวนการแจ้งข้อหา ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม

ซึ่งบรรยากาศที่บ้านของนายกษิดิ์ชาติ ได้มีการเตรียมเอกสารในส่วนของหลักฐานที่เกี่ยวข้องและยืนยันความบริสุทธิ์ใจให้กับทางทนายชัช ซึ่งเอกสารดังกล่าวนั้นจะเป็นในส่วนของการกดเงินจากตู้เอทีเอ็มบริเวณหน้าโรงพยาบาลพัทลุง รวมไปถึงเอกสารเกี่ยวกับการเดินทางเข้าไปรักษาอาการป่วยเนื่องจากก้างปลาทิ่มคอที่คลินิกแห่งหนึ่งในพื้นที่พัทลุง

พี่ชายเสี่ยแป้ง ให้ข้อมูลกับทนายชัช ว่า การเข้ามาตรวจค้นของเจ้าหน้าที่กองปราบปรามซึ่งทราบว่าเป็นของส่วนกลางร่วมกับทางเจ้าหน้าที่ร้อยเวรในพื้นที่นำหมายศาลเข้ามาตรวจค้น แต่ไม่ได้มีการแสดงหมายจับหรือหมายเรียกแต่อย่างใด โดยพฤติการณ์ในวันนั้นทางเจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นได้มีการเชิญตัวเพื่อไปให้ข้อมูลหรือรายละเอียดที่ สภ.เมืองพัทลุง แต่สุดท้ายเมื่อไปถึง สภ. ก็กลับมีการแจ้งข้อหา และนำตัวเข้าห้องขังเป็นระยะเวลา 3 ชั่วโมง ก่อนที่จะสงสารและให้ทางครอบครัวญาติไปประกันตัวที่ชั้นศาล ยืนยันก่อนการเข้าตรวจค้นหรือแจ้งข้อหาไม่ได้มีหมายเรียกหรือหมายจับมาที่บ้าน

ทนายชัช กล่าวว่า จากการพูดคุยกับพี่ชายเสี่ยแป้ง ยอมรับว่าในมุมของข้อกฎหมายเบื้องต้นค่อนข้างพบความผิดปกติบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประเด็นหมายเรียก หมายจับ หรือขั้นตอนในการแจ้งข้อหา ตลอดจนในส่วนของกรณีที่ทางพี่ชายเสียแป้งโดนตั้งข้อหา มาตรา 192 เกี่ยวกับกรณีให้ความช่วยเหลือ ซึ่งจริงแล้วโทษไม่เกิน 3 ปี หากเป็นขั้นตอนกระบวนการตามปกติก็จะต้องมีการออกหมายเรียก ซึ่งในส่วนของผู้ที่ถูกออกหมายเรียกก็มีสิทธิจะไปหรือไม่ไป ตลอดจนสามารถหาทนายเพื่อมาสู้คดี หลังจากนี้ในฐานะทนายความ ตนเองก็นำหลักฐานและข้อมูลที่ได้รับเพื่อไปเรียกร้องความเป็นธรรมในลำดับต่อไป

หากตรวจสอบแล้วพบความผิดปกติก็อาจจะต้องมีการร้องเรียนตามข้อกฎหมายหรืออาจจะร้องเรียนในส่วนของวินัยและประพฤติมิชอบ หรืออาจจะขัดต่อ พ.ร.บ.อุ้มหายหรือไม่ แต่เบื้องต้นส่วนตัวจะร้องขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือร้องเรียนไปที่ตำรวจภูธร ภาค 9 ต่อไป