เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. นายพายัพ ปั้นเกตุ ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ให้ความเห็นกรณีมีกลุ่มมวลชนไปเรียกร้องที่โรงพยาบาลตำรวจและกล่าวหาว่าอดีตนายกฯ ทักษิณ ชิณวัตร ในเรื่องการรักษาพยาบาลว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ ได้เดินทางกลับประเทศไทยและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อรับโทษ โดยผ่านการตรวจคนเข้าเมืองและไปรายงานตัวรับโทษ จากนั้นก็เข้าสู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่สถานพยาบาลแดน 7 พิเศษกรุงเทพฯ ตรวจร่างกายและอาการป่วยแล้วพบว่า นายทักษิณ เป็นผู้สูงอายุ อายุเกิน 70 ปี มีอาการป่วยเรื้อรังประจำตัวหลายโรค แพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์เฝ้าดูอาการระยะหนึ่งแล้วมีความเห็นว่า อาการน่าวิตกกังวลเกินขีดความสามารถที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์จะรับรักษาตัวได้ จึงส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และตรวจพบว่ามีโรคเรื้อรังหลายโรคที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด โดยเฉพาะโรคหัวใจ ประกอบกับคนไข้เป็นผู้สูงอายุ มีอายุเกิน 70 ปี สภาพร่างกายไม่แข็งแรงเพียงพอ แม้คนไข้จะออกกำลังกายและดูแลตนเองอย่างดีก็ตาม


นายพายัพ กล่าวว่า ต่อมาอดีตนายกฯ ทักษิณ ก็ได้เข้ารับการผ่าตัดหลายครั้งจากหลายอาการดังที่เป็นข่าวมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดที่ตนได้กล่าว ถือเป็นสิทธิของผู้ต้องขังหรือนักโทษที่กรมราชทัณฑ์ถือปฏิบัติมานานแล้วมิใช่เป็นเรื่องอภิสิทธิ์ชนตามที่มีการกล่าวกันอยู่ในขณะนี้ใดๆ ทั้งสิ้น 


นายพายัพ กล่าวว่า ตนเคยเป็นนักโทษชาย (น.ช.) ติดคุกที่เรือนจำพัทยาคดีชุมนุมทางการเมืองปี 2552 ซึ่งตนมีโรคประจำตัวเรื้อรังหลายโรค โดยเฉพาะโรคหัวใจ ซึ่งแพทย์และพยาบาลในเรือนจำก็ได้มีการตรวจดูอาการเช่นกันและได้ให้อยู่ในการดูแลของสถานพยาบาลในเรือนจำ และตนเคยมีอาการโรคหัวใจกำเริบต้องปั๊มหัวใจกันในเรือนจำ แต่ไม่มีเครื่องมือแพทย์และขาดแพทย์เฉพาะทางอยู่ประจำ จึงปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วส่งตัวไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลบางละมุงเมื่อมีอาการหัวใจหยุดเต้นอีก สุดท้ายก็ต้องส่งตัวเข้าเรือนจำในกรุงเทพมหานคร และไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเช่นกัน 


“ผมจำเป็นต้องออกมาพูดทำความเข้าใจกับสังคมว่า คนคุกมีความเสี่ยงและอันตรายต่อชีวิตมากน้อยเพียงใด และการรักษาอาการป่วยเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน แม้จะเป็นผู้ต้องขังหรือนักโทษที่จะได้รับการรักษาพยาบาลจากอาการป่วย ซึ่งเป็นหลักการสากล” นายพายัพ กล่าวย้ำ