นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการลดภาษีสรรพสามิตดีเซลเพื่อดูแลราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ที่ขณะนี้กองทุนฯ ต้องติดลบถึง 9.1 หมื่นล้านบาทนั้น เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุเหมือนรัฐให้ขนมจนประชาชนติด ดังนั้นการปรับขึ้นราคาไปสู่ระดับ 32 บาทต่อลิตร จะยิ่งซ้ำเติมประชาชนที่ขณะนี้กำลังประสบปัญหาค่าครองชีพที่สูง จึงเห็นว่า รัฐบาลควรจะพิจารณาแนวทางหลักๆ 3 เรื่อง ได้แก่

1.ควรหามาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย ที่เป็นกลุ่มเปราะบางและจะมีผลกระทบ เช่น กลุ่มรถขนส่ง รถรับจ้าง เพื่อลดภาระการอุดหนุนลงเพราะสุดท้ายการอุดหนุนที่มาก เมื่อราคาตลาดโลกลดผู้ที่จะต้องกลับมาใช้หนี้คือประชาชนอยู่ดี

2.ควรหันมาพิจารณาการพึ่งพาพลังงานภายในประเทศให้มากขึ้นเพราะราคาพลังงานตลาดโลกนั้นมีความผันผวนสูงและยังมีค่าเงินบาทที่หากอ่อนค่าก็จะยิ่งจ่ายแพงเพิ่มขึ้นอีก โดยควรหันมามองการพึ่งพาภาคการเกษตรที่มีความหลายทางชีวภาพผลิตได้ทั้งเอทานอล ไบโอดีเซล หรือแม้กระทั่งการวิจัยด้านอื่นๆ ฯลฯ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งหากรัฐส่งเสริมและปรับโครงสร้างการผลิตให้ดีๆ ไม่ต้องเสียภาษีฯ ต้นทุนสามารถลดต่ำลงได้อย่างมากซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าน้ำมัน

3.หาแนวทางการบริหารเพื่อลดการพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศให้ลดต่ำลงโดยควรมีแผนระยะกลางและระยะยาวในการกำหนดยุทธศาสตร์ซึ่งขณะนี้โลกกำลังก้าวไปสู่พลังงานสะอาดที่ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงควรมองมาที่พลังงานทดแทนให้มากขึ้น เช่น ส่งเสริมติดโซลาร์เซลล์ ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี ที่จะช่วยลดมลพิษแล้วยังจะช่วยการใช้ไฟที่เกินความต้องการซึ่งที่สุดจะไปลดค่าพร้อมจ่าย หรือเอพี ที่ประชาชนต้องแบกรับ โดยค่าพร้อมจ่ายเป็นการจ่ายเงินให้กับโรงไฟฟ้าทุกโรงไฟฟ้าแม้ว่าจะไม่มีการเดินเครื่อง