จากกรณีช่วงเย็นของวันที่ 29 ก.พ. ที่ผ่านมา ร้านเจ๊ไฝประตูผี ร้านอาหารชื่อดัง ได้มีการโพสต์ข้อความในสตอรี่ของแอปอินสตาแกรม ใจความว่า “วันนี้มีลูกค้าไม่ยอมต่อคิว อ้างตัวเป็นสารวัตรนอกเครื่องแบบ กำลังอยู่ในหน้าที่ ขอโต๊ะเลย ทานข้าว สั่งห่อ แล้วไม่จ่ายเงิน”

คืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่1 มี.ค. ตำรวจชุดสืบสวน สน.สำราญราษฎร์ นำตัวชายที่ถูกระบุในอินสตาแกรมของเจ๊ไฝ ว่าไม่จ่ายเงินค่าอาหารไปที่ร้านเจ๊ไฝย่านประตูผี เพื่อทำการสอบถามเจ๊ไฝว่าจะติดใจเอาความทางคดีอาญากับชายคนดังกล่าวหรือไม่ เมื่อไปถึง ชายคนดังกล่าวได้ยกมือไหว้ขอโทษเจ๊ไฝว่าไม่ได้ตั้งใจจะชักดาบ และได้จ่ายเงินค่าอาหารมื้อดังกล่าวให้กับเจ๊ไฝแล้ว โดยเปิดเผยว่า ตนเองไม่ได้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามที่มีการโพสต์ลงในอินสตาแกรม แต่เชื่อว่าเป็นความเข้าใจผิดของลูกสาวเจ๊ไฝ หรืออาจเป็นโต๊ะข้างๆ ที่ได้ยินข้อมูลการสนทนา

“ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจจะไม่จ่ายค่าอาหาร แต่ตนเองมีปัญหาเรื่องความจำ และต้องรีบออกไปเอารถที่ทำกระจกไว้ในบริเวณใกล้เคียง ก่อนที่จะนึกได้ว่าลืมจ่ายค่าอาหาร จึงตั้งใจว่าจะกลับมาที่ร้าน และจ่ายเงินในวันรุ่งขึ้น แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลายเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ เสียก่อน จึงพยายามติดต่อเข้ามาที่ สน.สำราญราษฎร์ ให้มารับตัว ยืนยันว่าไม่เคยก่อเหตุลักษณะแบบนี้ที่ร้านอื่นมาก่อน”

‘เจ๊ไฝ’ งานเข้า! โพสต์ตามตัว ‘สารวัตร’ สั่งเมนูจัดเต็มแต่เบี้ยวค่าอาหาร

ด้านเจ๊ไฝ เจ้าของร้านอาหาร เปิดเผยว่า ไม่ติดใจเอาความทางคดีกับชายคนดังกล่าว ให้เลิกแล้วต่อกัน ที่ผ่านมาเคยมีลูกค้าชาวต่างชาติมากินอาหารและไม่จ่ายเงิน แต่ก็ติดต่อไปทางโรงแรมให้มาจ่ายเงิน และไม่ได้ติดใจเอาความกับใคร แต่ไม่เคยมีคนไทยทำแบบนี้มาก่อน ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตกใจ และได้ต่อว่าลูกสาวที่ไม่ยอมเล่าเหตุการณ์ให้ฟังตั้งแต่ต้น จนทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต จากนี้จะให้ที่ร้านเพิ่มความเข้มงวดในการเก็บเงินลูกค้ามากขึ้น และได้ขอบคุณผู้กำกับการ สน.สำราญราษฎร์ ที่ช่วยติดตามเรื่องดังกล่าวให้ทันที

ด้าน พ.ต.อ.ทศพล อําไพพิพัฒน์กุล ผกก.สน.สำราญราษฎร์ เปิดเผยว่า เรื่องนี้ถือว่าไม่เป็นคดีความ เพราะตัวเจ๊ไฝไม่ติดใจเอาเรื่อง แต่จะมีการตรวจสอบต่อไปว่า ชายคนดังกล่าวเคยก่อเหตุในลักษณะแบบนี้มาก่อนหรือไม่ ส่วนกรณีที่มีการแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อกฎหมาย ว่าจะเข้าข่ายหรือไม่ เพราะในระหว่างเกิดเหตุ เจ้าตัวไม่ได้มีการแต่งเครื่องแบบตำรวจ หรือแสดงบัตรเอกสารว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จึงอาจไม่เข้าข่ายที่จะดำเนินคดีได้ แต่หากพบว่าเข้าข่ายความผิดในข้อหาใด ก็จะดำเนินการในภายหลัง.