เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) แถลงข่าว “สบส. ส่งเสริมการมีบุตร ทางเลือกสำหรับผู้มีบุตรยากเพื่อเข้ารับบริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์” ว่า สถานการณ์การเกิดของประเทศไทยในปัจจุบันลดลงอย่างมาก โดยปี 2566 มีการเกิดใหม่ไม่ถึง 500,000 คน และมีแนวโน้มลดลงในปี 2567 ด้วย ในขณะที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่าปีละ 800,000 คน จึงทำให้ประชากรของประเทศลดลง และสังคมผู้สูงอายุจะสูงมากกว่าร้อยละ 20 ซึ่งจะเป็นปัญหาในการพัฒนาประเทศต่อไป รัฐบาลจึงได้วางกลยุทธ์ที่จะทำให้ผู้มีบุตรยากสามารถเข้าถึงบริการและสามารถมีบุตรได้มากขึ้น ซึ่งอยู่ในระหว่างการผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ ส่วนกระทรวงสาธารณสุขประกาศเป็นนโยบายหลักของกระทรวงฯ แล้ว โดยมี พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 เปิดโอกาสให้คู่สมรสที่มีบุตรยากมีบุตรได้ตามต้องการ  

นพ.สุระ กล่าวว่า ปัจจุบันมีสถานพยาบาลที่ให้บริการผสมเทียม เด็กหลอดแก้วและอุ้มบุญ 115 แห่ง แบ่งเป็น รพ. ของรัฐ 17 แห่ง รพ.เอกชน 31 แห่งและคลินิกเอกชน 67 แห่ง ทั้งนี้การมีบุตรยาก ประกอบด้วย 1.คู่สมรสที่ยังสามารถมีบุตรได้ จะใช้วิธีการฉีดน้ำเชื้ออสุจิของสามี เข้าไปในโพรงมดลูกของภรรยา เรึยกว่าการผสมเทียม ซึ่งมีการให้บริการประมาณปีละ 12,000 รอบการรักษา, การผสมเด็กหลอดแก้ว ซึ่งมีการให้บริการประมาณปีละ 20,000 รอบการรักษา และ 2.คู่สมรสที่ตั้งครรภ์เองไม่ได้ เรียกสั้นๆ ว่า อุ้มบุญ ซึ่งที่ผ่านมามีการให้อนุญาตแล้ว 754 ราย และไม่ได้รับอนุญาตอีก 22 ราย เนื่องจากการอุ้มบุญจะต้องดูความพร้อมจากหลายด้าน อย่างไรก็ตาม ผลสำเร็จของการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทั้ง 3 วิธีอยู่ที่ประมาณร้อยละ 50 แต่การอุ้มบุญนั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่สูง ส่วนใหญ่ประชาชนก็จะเลือกใช้วิธีผสมเทียม เด็กหลอกแก้ว โดยนโยบายส่งเสริมการมีบุตร ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะมีผู้เข้ามารับบริการในแต่ละวิธีไม่น้อยกว่าปีละ 100 ราย  

ด้าน ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดี สบส. กล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยมีเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์อัตราความสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีในปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก ปี 2566 ร้อยละ 46 เป็นร้อยละ 48 ทั้งนี้ และปี 2567 สบส. ได้ปรับแก้กฎหมายดังนี้ 1.การรับบริจาคไข่ โดยสามารถให้ญาติสืบสายโลหิตของภรรยาอายุตั้งแต่ 20-40 ปี บริจาคไข่ได้โดยไม่ต้องผ่านการสมรสเป็นผู้บริจาคไข่ 2.ให้ภรรยาที่มีอายุ 35 ปี สามารถทำการตรวจโรคทางพันธุกรรมของตัวอ่อนได้ เพื่อทำให้ตัวอ่อนเกิดอย่างมีสุขภาพดี 3.ปรับแก้เพดานอายุหญิงที่เป็นภรรยาที่ประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทนโดยหญิงอื่น โดยอายุมากกว่า 55 ปีก็สามารถทำได้ และ 4.ยกระดับการประกันคุ้มครองสุขภาพหญิงตั้งครรภ์แทน ซึ่งตอนนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และ สมาคมประกันภัย กำลังหารือเรื่องกรมธรรม์กันอยู่ ซึ่งเร็วๆ นี้คาดว่าจะมีข่าวดีสำหรับการทำประกันของหญิงตั้งครรภ์แทน  

“การปรับเพดานอายุหญิงที่ประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทนนั้น เนื่องจากปัจจุบันคนที่อยากจะมีลูก ก็เก็บไข่ไว้ตั้งแต่ 30 ปี และบางรายอาจมีการสมรสตอนอายุ 60 ปี หญิงรายนี้ก็จะสามารถเอาตัวอ่อนของตัวเองที่เก็บไว้ ไปผสมกับอสุจิของสามี หรือรับบริจาคอสุจิ จากนั้นก็นำไปฝากกับแม่อุ้มบุญตามกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกคนในเครือญาติฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายก่อน ถ้าไม่ได้ก็สามารถไปหาหญิงอื่นที่พร้อมรับอุ้มบุญที่เคยมีบุตรมาแล้ว” ทพ.อาคม  กล่าวและว่า นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาให้คู่สมรสต่างชาติเข้ามาทำการอุ้มบุญในไทยได้ โดยสามารถนำแม่อุ้มบุญต่างชาติเข้ามาได้ หรือให้หญิงไทยตั้งครรภ์แทนได้ แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย พร้อมทั้งมีแนวทางป้องกันการลักลอบค้ามนุษย์ด้วย.