เมื่อวันที่ 5 มี.ค. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข แถลงข่าวความพร้อมการขับเคลื่อน “นโยบายยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ระยะที่ 2” ว่า หลังจากนโยบายยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียวนำร่องที่ แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส มา 2 เดือน พบว่า ประชาชน มากกว่า 80% ขึ้นไป พึงพอใจ เพราะสะดวก รวดเร็ว ลดความแออัด ส่วนภาระงานบุคลากรประเมินจากกายภาพข้อเท็จจริง ไม่มีเสียงบ่น ส่วนการใช้บริการข้ามเขตพบเพิ่มขึ้น 6.9% บางแห่งไม่ถึง 5% ซึ่งไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ เพราะปกติมีการข้ามเขตประมาณนี้ บางที่รับได้ถึง 10% ส่วนการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ถึงบ้านผ่าน Health Rider ระหว่างวันที่ 23 ก.พ.-1 มี.ค. 2567 พบว่า ภาพรวมพึงพอใจ 99.6%

ส่วนเฟส 2 เพิ่มอีก 8 จังหวัด ได้แก่ เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สิงห์บุรี สระแก้ว หนองบัวลำภู นครราชสีมา อำนาจเจริญ และพังงา ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา และมีความพร้อม 100% ทั้งนี้ มอบหมายให้ สปสช.เร่งทำข้อสรุปหลักเกณฑ์และกระบวนการเบิกจ่าย การยืนยันตัวตน การเปิดสิทธิ ปิดสิทธิ ให้ชัดเจน เพื่อให้หน่วยบริการเอกชนมั่นใจเข้าร่วมโครงการ ขณะที่เฟส 3 จะขยับจาก เม.ย. เป็น พ.ค. อีก 23 จังหวัด ในเขตสุขภาพที่ 1 เพิ่ม 7 จังหวัด เขตสุขภาพที่ 4 เพิ่มอีก 7 จังหวัด เขตสุขภาพที่ 9 เพิ่มอีก 3 จังหวัด และเขตสุขภาพที่ 12 เพิ่มอีก 6 จังหวัด และเฟส 4 ทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยให้เสร็จในสิ้นปี 

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า โครงการนี้นอกจากให้สิทธิบัตรทอง 50 ล้านคนแล้ว สิทธิอื่นก็ได้โอกาสไปด้วย ในการบันทึกข้อมูลสุขภาพทางอิเล็กทรอนิกส์ Personal Health Record (PHR) ทั้งประกันสังคม ข้าราชการ เข้าสู่ระบบทั้งหมด ในอนาคตจะใช้เป็นโอกาสอำนวยความสะดวกประชาชนทุกสิทธิในการเบิกจ่ายผ่านระบบดิจิทัล เชื่อมโยงข้อมูลกันในฐานการเบิกจ่าย Financial Data Hub โดยมีกองเศรษฐกิจสุขภาพดูแล เสมือนมีเคลียริงเฮาส์ตรงกลางใหญ่ กระจายยิงไปแต่ละกองทุนให้ไปเบิกตามสิทธิได้เลย ไม่ต้องใช้ระบบเบิกจ่ายตามปัจจุบัน 

“ผมในฐานะที่เป็น รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วย ท่านรมช.สาธารณสุข ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน  พวกเราเข้ามาสานต่อนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค เป็นรักษาทุกที่ ของอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร ผมต้องกล่าวและเน้นย้ำจริงๆ ว่าเป็นสิ่งที่เป็นคุณูปการ แน่นอนว่าผมไม่กล่าวถึงบุคคลอื่นไม่ได้ เพราะการที่จะขับเคลื่อนนโยบาย เรื่องยากๆ เหล่านี้มี 3 องค์ประกอบ เรื่ององค์ความรู้ ด้านข้อมูลเรื่องวิชาการ ภาคประชาชน และมิตินโยบายทางการเมือง 3 ด้านนี้ ซึ่งเราให้ความสำคัญทุกด้าน ถ้าไม่มีด้านใดด้านหนึ่ง คงขาดโอกาส มิติทางด้านองค์ความรู้ ภูมิปัญญาในการขับเคลื่อนก็ต้องยกย่อง อาจารย์หมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ต้องยกย่องเครือข่ายสุขภาพที่ช่วยกันขับเคลื่อนในฐานะประชาชน จนมาถึงนโยบายของรัฐบาลที่ท่านอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ตัดสินใจว่า ทำโครงการนี้ ก็ทำให้พวกเราเป็นรูปเป็นร่างมาจนถึงปัจจุบัน” นพ.ชลน่าน กล่าว.