เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดี คดีดำ อ.280/2564 ที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เป็นโจทก์ฟ้อง นพ.วรงค์ เดชวิกรมกิจ ประธานพรรคไทยภักดี ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท เกี่ยวกับกรณีที่ นพ.วรงค์ ไลฟ์สดกล่าวหาทำนองว่านายธนาธร สนับสนุนเกี่ยวข้องกับปฏิรูปสถาบัน อันเป็นการล้มล้างการปกครอง จากการแถลงข่าวจัดตั้งพรรคไทยภักดี และไลฟ์สดเฟซบุ๊ก เหตุเกิดช่วงวันที่ 20 ม.ค.-4 ก.พ.2564

ดูคลิปบ้างไหม! ‘หมอวรงค์’ ถาม ‘ธนาธร’ ม็อบ7สิงหาสู้ด้วยมือเปล่า?

โดยในวันนี้ นพ.วรงค์เดินทางมาศาลพร้อมมีมวลชนมาให้กำลังใจ ส่วนนายธนาธร ไม่ได้เดินทางมาศาล โดย นพ.วรงค์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าฟังคำพิพากษา ระบุว่า คดีดังกล่าวมีที่มาที่ไป จากการที่ตนประกาศตั้งพรรคไทยภักดี เพื่อมีเป้าหมายในการต่อสู้กับพรรคก้าวไกล รวมถึงต่อสู้กับคณะก้าวหน้า และม็อบ 3 นิ้ว ที่มีการพาดพิงถึงขบวนการล้มล้างการปกครอง นำไปสู่การฟ้องร้องถึง 2 คดี โดยคดีแรกเป็นกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล เป็นผู้ฟ้องร้องตน ข้อหาหมิ่นประมาท ส่วนคดีนี้ คือคดีที่นายธนาธร ฟ้องตนข้อหาหมิ่นประมาทเช่นกัน เนื่องจากคดีนี้มาจากเหตุการณ์เดียวกันแต่มีการแยกฟ้องคดี

สำหรับคดีที่นายพิธา หรือพรรคก้าวไกล ฟ้องร้องตน ศาลพิพากษายกฟ้องว่าตนไม่ได้มีการหมิ่นประมาท โดยทราบภายหลังว่าพรรคก้าวไกลได้ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งไม่ว่าจะมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาจากศาลอย่างไร ยืนยันว่า ในการต่อสู้ที่ผ่านมา เป็นการต่อสู้ในข้อเท็จจริง และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทราบว่าศาลได้ยกคำร้องในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการสนับสนุนการล้มล้างการปกครองเป็นประเด็นที่ใหญ่ ที่มีการสืบพยานมาอย่างยาวนาน และมีความเชื่อมโยงไปถึงพรรคก้าวไกล ซึ่งตนชนะคดี และศาลตัดคดีส่วนตัวที่เกี่ยวกับนายธนาธรศาลตัดออก จึงเหลือประเด็นแค่ที่ตนกล่าวหาว่า นายธนาธร จะถูกดำเนินคดีมาตรา 112

นพ.วรงค์ กล่าวต่อว่า ตนเชื่อมั่นในข้อมูล และพยานหลักฐานต่างๆ เพราะทุกคำพูดตนเอามาจากสื่อทั้งสิ้น ไม่ใช่สร้างหรือมโนขึ้นมาเอง ตนก็ได้ชี้ให้ศาลเห็นว่า การดำเนินคดีมาตรา 112 เกิดขึ้นจริง และได้เป็นพยานในการเบิกความด้วย แต่ศาลจะตัดสินอย่างไร อีกไม่นานก็คงรู้คำตอบ

เมื่อถามว่าหากยกฟ้องจะมีการฟ้องร้องกลับหรือไม่ นพ.วรงค์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ชอบมีคดีความ ชีวิตทางการเมืองก็เคยฟ้องร้องแค่ 1 คดี และชนะด้วย เล็กๆ น้อยๆ ถือว่าเป็นการทำบุญ ซึ่งพวกเราเป็นนักการเมือง และบอกว่าเป็นนักประชาธิปไตย จะต้องรับฟัง โดยตนก็รับฟังเขามาตลอด อะไรที่ไม่ถูกต้องก็ได้ชี้แจง แต่เวลาที่ตนแสดงความคิดเห็นบนหลักการ ก็ขอให้รับฟังบ้าง ไม่ใช่ฟ้อง

นพ.วรงค์ ยังฝากถึงสังคมด้วยว่า การฟ้องร้องของนายธนาธร เรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวันเปลี่ยนแปลงการปกครองทั้งสิ้น และมีนัยทางการเมือง ฉะนั้นหากจะอ้างว่าเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็ต้องรับฟังพวกเรา อะไรที่ถูกหรือผิดก็ต้องไตร่ตรอง ไม่ใช่การฟ้องกลับ และคนที่มีความเห็นที่ขัดแย้งก็ถูกเขาฟ้องร้องเยอะมาก และเมื่อมีการฟ้องจะต้องมีการวางเงินไม่น้อยกว่า 200,000 บาท ที่ไม่รวมค่าทนาย ซึ่งเขาสูญเสียเงินเยอะมากในการปิดปากประชาชน และถือว่าไม่ใช่ของจริง

โดยศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าข้อความที่จำเลยโพสต์จึงเป็นการแจ้งล่วงหน้าให้ทราบว่าจำเลยจะไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับโจทก์ในความผิดมาตรา 112 ในภายหน้าอันเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายไม่ทำให้ผู้ที่ได้อ่านหรือประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นบุคคลที่เข้าใจไปได้ว่า โจทก์กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังแต่อย่างใด ข้อความดังกล่าวจึงมิได้มีเนื้อหาหมิ่นประมาทโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา พิพากษายกฟ้อง

จากนั้นเวลา 09.45 น. นพ.วรงค์ ให้สัมภาษณ์หลังเข้าฟังคำพิพากษา ว่า วันนี้นายธนาธร ไม่ได้เดินทางมาที่ศาล มีเพียงผู้รับมอบอำนาจเดินทางมาเท่านั้น ซึ่งตนชนะคดีหลังจากที่เขาฟ้องเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งตนอยากบอกว่าการที่พวกคนฟ้องคนอื่น หรือฟ้องประชาชนพร่ำเพรื่อ นอกจากจะเสียเงินเยอะแต่ละคดี และเรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท คนพวกนี้อ่อนประสบการณ์ วันใดที่บริหารประเทศด้วยการอ่อนประสบการณ์แบบนี้จะทำให้ประเทศเสียหายและล่มจม

นพ.วรงค์ กล่าวอีกว่า วันนี้แม้จะเป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้น เขามีสิทธิที่จะอุทธรณ์ แต่ตนจะต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริงมีพยานหลักฐานไม่ใช่มีเพียงแค่พยานบุคคล และตนถูกฝึกให้พูดความจริง เวลาโพสต์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียจะมีเอกสารอ้างอิงหมดซึ่งไม่เคยกลัว เพียงแต่เรื่องนี้ทำให้เสียเวลา นอกจากนี้ขอให้มาพูดคุยกันอย่างลูกผู้ชายไม่ว่าจะผ่านเวทีไหนก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องมาตรา 112 ขณะที่ฝากไปถึงประชาชน ช่วงนี้มีบางพรรคการเมืองปล่อยคลิปวิดีโอรณรงค์เชิญชวนเข้าแคมป์ สร้างเจตนารมณ์ก่อนจะให้มีการไปสมัครวุฒิสภา ซึ่งเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ต้องการให้เป็นกลาง ไม่ควรมีพรรคการเมืองเข้าไปยุ่งหรือเชิญชวนเข้าแคมป์ดังกล่าว เพราะมองว่าเป็นการฝักใฝ่และทำให้เจตนารมณ์ของ สว. มีปัญหา